หากพูดถึง ‘ถุงยางอนามัย’ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘ถุงยาง’ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อแทบทุกเจ้า ส่วนแบรนด์นั้นก็หลากหลายทั้ง Durex แบรนด์ถุงยางสัญชาติอังกฤษ Okamoto จากประเทศญี่ปุ่น และ ONETOUCH ที่เป็นของไทยแท้ ๆ ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR
ตลาดถุงยางไม่ค่อยโต?
หากพูดถึงตลาดถุงยางอนามัย จะบอกว่าไม่ค่อยเติบโตคงจะไม่ถูกนัก เพราะเฉลี่ยแล้วก็ยังเติบโตได้ราว 8-9% ตามตลาดโลก แต่การเติบโตที่สม่ำเสมอแบบนี้ แปลว่าจะหวังให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคงไม่ได้ อีกทั้งตลาดในไทยก็เริ่มมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามา ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดประเภทอื่น ๆ อย่าง ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
นอกจากนี้ ด้วยความที่ประเทศไทยนั้นมี ความละเอียดอ่อน ในเรื่องเพศพอสมควร อีกทั้งถุงยางอนามัยยังจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ด้วย ดังนั้น การจะโฆษณาโชว์หรานั้นทำไม่ได้ การจะสื่อสารว่าแบรนด์มีของสรรพคุณดีอย่างไรเลยทำได้ยาก กลายเป็นเข้าถึงผู้บริโภคยากเข้าไปอีก
เราเลยจะเห็นความครีเอทีฟออกจากโฆษณาในกลุ่มสินค้านี้มากเป็นพิเศษ หรือบางแบรนด์ก็จะเน้นรูปร่างหน้าตาของบรรจุภัณฑ์เพื่อให้โดดเด่นสะดุดตา ไม่ก็มีฟีเจอร์ฟังก์ชันแปลกใหม่เพื่อดึงดูด
กัญชง-กัญชา New S-Curve
สำหรับ TNR บริษัทผู้ผลิตถุงยางสัญชาติไทยนั้นอยู่ในตลาดมาเกือบ 30 ปีแล้ว จากตอนแรกรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้กับบริษัทและองค์กรอื่น ๆ จากนั้นในปี 2542 ก็หันมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองในชื่อ ONETOUCH และในปี 2561 ก็ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายแบรนด์ PlayBoy ใน 188 ประเทศทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว และอีกธุรกิจที่คนไม่ค่อยรู้คือ เป็นผู้ผลิตกล่องกระดาษ
แต่หากดูจากรายได้ของ TNR ที่อยู่ราว ๆ 1,700 ล้านบาท และการเติบโตของตลาดที่ยังอยู่ในเลขหลักเดียว ยิ่งการทำตลาดที่มีข้อจำกัดเต็มไปหมด หรือล่าสุด บริษัทเพิ่งมีปัญหาฟ้องร้องแบรนด์ PlayBoy ฐานใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำผิดต่อกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา โดย TNR ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ดังนั้น การที่ TNR จะมองหา New S-Curve ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และตลาดที่ TNR จะไปก็คือ สมุนไพร โดยจะนำร่องที่ กัญชา, กัญชง และกระท่อม หลังจากรัฐบาลปลดล็อกให้ไม่ผิดกฎหมายและถือเป็นอนาคตพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งปัจจุบันตลาดสมุนไพรไทยมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท
ปี 66 เตรียมเจอ one touch x กัญชา
ในปีที่ผ่านมา TNR ได้ประกาศตั้ง บริษัท ทีเอ็นอาร์ ไบโอไซเอินซ์ จำกัด บริษัทย่อยที่ TNR ถือหุ้น 100% มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสกัด และจำหน่ายสารสำคัญพืชสมุนไพร แต่แน่นอนว่าธุรกิจสมุนไพร โดยเฉพาะกัญชา, กัญชง และกระท่อม ไม่ได้มีแค่ TNR ที่เล็งเห็นโอกาสเติบโต ซึ่ง อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ยอมรับว่า มาช้า แต่ก็มั่นใจใน ความพร้อม ทั้งในส่วนของกำลังการผลิตและการวิจัยพัฒนา
“แม้ว่าจะมาทีหลังใครในประเทศ แต่เชื่อว่าพร้อมกว่าคนอื่น ๆ โดยตอนนี้เรามีวัตถุดิบพร้อมแล้ว และเราคาดว่าจะสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ได้ในช่วงกลางปีนี้ และยังไม่เห็นบริษัทไหนที่สามารถสกัด CBD มาจำหน่ายในปริมาณที่มากได้”
สำหรับแผนการทำงานของ TNR จะแบ่งเป็น 3 เฟส ครอบคลุมต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยปัจจุบันได้ผ่านเฟสแรกไปแล้ว ก็คือ การรุกเข้าสู่อุตสาหกรรมกัญชง ระดับต้นน้ำ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาสนับสนุนการทดสอบ วิจัย และพัฒนาสายพันธุ์กัญชงที่สามารถสกัดสาร CBD ในปริมาณสูง รวมถึงจัดตั้งจุดรับซื้อช่อดอกกัญชงและศูนย์ตรวจวัดค่าต่าง ๆ ตามมาตรฐาน
ส่วน ระดับกลางน้ำ บริษัทได้ลงทุน 200 ล้านบาทจัดตั้งโรงงานสกัดสารสำคัญจากกัญชงและกระท่อม เพื่อจำหน่ายสารสกัด CBD และ Mitragynine เพื่อนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พร้อมกับจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (แล็บทดสอบ) เพื่อตรวจวัดระดับสารสำคัญ CBD ,THC รวมไปถึงสารปนเปื้อน คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้
สุดท้าย ระดับปลายน้ำ หรือการ พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพที่มีส่วนผสมสารสกัดจากกัญชงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ออกสู่ตลาด คาดว่าจะได้เห็นภายในปี 2566 โดยสินค้าตัวแรกจะสกัดกลิ่นและสาร CBD จากกัญชง-กัญชามาใช้ใน ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น เพื่อใช้ในการนวดสปา
“ปีนี้ก็มีการศึกษา CBD และ THC มาทำเป็นเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วย ดังนั้นเชื่อว่า ถุงยางอนามัยและสานหล่อลื่นผสมกัญชาจะขายได้ดี ในราคาที่ไม่แพงมากมาย”
เน้นส่งออกต่างประเทศปั้นรายได้พันล้านใน 3 ปี
เนื่องจากกัญชายังเป็นธุรกิจใหม่ในไทย TNR จึงเน้นส่งออกเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในปีนี้คือ ทำมาตรฐานให้แมตช์กับประเทศปลายทาง โดยประเทศแรกที่ส่งออกคือ สหรัฐอเมริกา เพราะหลายรัฐกัญชาถูกกฎหมายแล้ว ตามด้วยยุโรป ออสเตรเลีย และแคนนาดา
ในส่วนของธุรกิจถุงยางอนามัยที่เป็นธุรกิจหลัก จะเน้นสร้างแบรนด์ One Touch และใช้คอนเน็กชั่นเพื่อไปไปจัดจำหน่ายแทนที่แบรนด์ Playboy ที่ยังมีปัญหา ขณะที่ส่วนของ OEM ก็ยังมีการเติบโต โดยภาพรวมผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะปิดที่ 2,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจถุงยางอนามัย 1,700 ล้านบาท กล่องกระดาษอีก 200 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท จากกัญชา-กัญชง
“ผลกระทบจากแบรนด์ Playboy จบไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เรามีสต็อกสินค้าที่จำหน่ายไม่ได้ แต่ปีนี้คาดว่าจะไม่กระทบ โดยเราจะเน้นการดันแบรนด์ของตัวเองทดแทน ซึ่งที่ผ่านมา รายได้จากแบรนด์ Playboy ไม่ได้เยอะ คิดเป็นแค่ 5-6% เท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม อมร มองว่าธุรกิจสมุนไพรมีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็น ธุรกิจหลัก แทนที่ถุงยางอนามัย โดยคาดว่าภายใน 10 ปีจากนี้จะมีรายได้ถึง 50,000 ล้านบาท โดยภายใน 3 ปีแรกคาดว่าจะมีรายได้จากสมุนไพรราว 1,000 ล้านบาท โดยจะค่อย ๆ มีสัดส่วนต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้น จาก 5% ในปีนี้ เพิ่มเป็น 20% และ 25% ในปี 2567 ตามลำดับ
นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับการรุกตลาดสมุนไพรของ TNR แน่นอนว่าจะช่วยย้ำภาพของ คุณภาพ สินค้าเดิมอย่างถุงยางอนามัยได้แล้ว แถมยังแตกไลน์ไปยังสินค้าอื่น ๆ ได้อีก แต่ต้องรอดูเพราะธุรกิจใหม่นี้ก็มีคู่แข่งไม่น้อย แถมยังไม่ใช่สายงานที่เชี่ยวชาญอีก ดังนั้น จะไปถึงฝันที่ 50,000 ล้านได้ตามที่หวังหรือจะต้องกลับไปเน้นธุรกิจเดิมต้องติดตามต่อไป