นักท่องเที่ยวไทยตื่นเต้นกับข่าวญี่ปุ่นจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนมิถุนายน แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งข้อจำกัดในการเดินทางอย่างมาก รวมทั้งแรงกดดันจากประชาชนในญี่ปุ่นที่ยังกังวลการระบาดของ COVID-19 ทำให้การท่องเที่ยวอิสระยังทำไม่ได้
ข่าวญี่ปุ่นจะเปิดประเทศในเดือนมิถุนายน ถูกสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก “เล่นใหญ่” เกินไปมาก ที่มาของเรื่องนี้มาจากคำพูดของนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะ ระหว่างเยือนอังกฤษเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ว่า ญี่ปุ่นจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนเช่นเดียวกับประเทศอื่นในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ G7
แต่หลายคนกลับลืมไปว่า ในคำพูดของนายกฯ ญี่ปุ่นมีคำสำคัญ คือ “พิจารณา” และ “เป็นขั้นเป็นตอน” จนถึงขณะนี้มีความชัดเจนอย่างเป็นทางการเพียงเรื่องเดียวคือ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ญี่ปุ่นจะเพิ่มโควต้าผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจากวันละ 10,000 คน เป็น 20,000 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นก่อนการระบาดของโควิดที่มากถึงวันละ 90,000 คน
รายงานของจากสื่อญี่ปุ่นระบุว่า การดำเนินการแบบ “เป็นขั้นเป็นตอน” ตามคำกล่าวของผู้นำญี่ปุ่น คือ จะเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดเล็ก โดยยังไม่มีประกาศทางการว่าจะให้ฟรีวีซ่าหรือไม่ รวมทั้งข้อกำหนดเรื่องชนิดของวัคซีน และประกันสุขภาพ
การท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดนี้คือ ต้องมาเป็นคณะกับบริษัทท่องเที่ยว เดินทางตามกำหนดการแน่นอน และมีผู้ที่รับผิดชอบในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็หมายความว่า นักท่องเที่ยวไม่สามารถออกนอกเส้นทาง หรือ เที่ยวอิสระได้
รูปแบบการท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์เช่นนี้คล้ายกับมาตรการที่ใช้ช่วงงาน “โตเกียว โอลิมปิก” และไม่ใช่สไตล์ที่นิยมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังคงใช้มาตรการตรวจหาเชื้อก่อนเข้าประเทศอย่างเข้มงวด แม้แต่คนญี่ปุ่นที่เดินทางกลับประเทศก็ต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อน การเพิ่มจำนวนคนเข้าประเทศจะทำให้ภาระงานการตรวจคัดกรองที่สนามบินหนักมาก รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาเงื่อนไขใหม่ เช่น ให้ตรวจหาเชื้อก่อนออกเดินทาง หรือ ละเว้นการตรวจหาเชื้อกับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่สถานการณ์โควิดไว้วางใจได้
แค่ “แง้มประตู” ไม่ใช่ “เปิดประเทศ”
นายกฯ ญี่ปุ่นระบุว่า จะพิจารณาสถานการณ์ผู้ติดเชื้อหลังวันหยุดยาว “โกลเดน วีค” ของญี่ปุ่น ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 1 สัปดาห์ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ที่ราว 40,000 คน ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างชัดเจน
อีกเรื่องหนึ่งที่ญี่ปุ่นแตกต่างจากกลุ่มประเทศ G7 คือ ยังห่างไกลจากการเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ซึ่งเชื่อว่าการระบาดจะสิ้นสุดลง เมื่อประชากรราว 60% ติดเชื้อโควิด
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ระบุเมื่อ 26 เม.ย. ว่า ชาวสหรัฐฯ ติดเชื้อโควิดแล้ว 57.7% แต่ผลการศึกษาในญี่ปุ่นพบว่า ชาวญี่ปุ่นติดเชื้อเพียง 4.3% ของประชากรเท่านั้น
รัฐบาลไม่เสี่ยงคะแนนนิยมผู้สูงวัย
ปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่เปิดประเทศอย่างเต็มที่ คือ การเลือกตั้งวุฒิสภาในเดือนกรกฎาคม การสำรวจล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่า ประชาชน 48% บอกว่าควรผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเข้าประเทศ และ 38% บอกว่าไม่ควรผ่อนปรน
ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากยังไม่อยากให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา เพราะขณะนี้การใช้ชีวิตในญี่ปุ่นเป็นปกติอย่างมาก การเดินทางคึกคัก ร้านอาหาร และร้านค้าเต็มแน่นไปด้วยลูกค้า ชาวญี่ปุ่นกลัวว่าหากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาและเกิดการระบาดอีกครั้ง จะต้องลำบากกันถ้วนหน้า
กลุ่มที่กังวลกับการเปิดประเทศมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ ที่มีความเสี่ยงที่จะอาการทรุดหนักหากติดเชื้อโควิด ผู้สูงวัยเหล่านี้คือ ผู้สนับสนุนหลักของพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ LDP ของนายกฯ คิชิดะ ในการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม และสำหรับนักเมืองแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่า คะแนนเสียง
ประเมินกันว่า ญี่ปุ่นจะผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเข้าประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และหลังการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม หากพรรค LDP ยังรักษาคะแนนเสียงไว้ได้ รัฐบาลจึงจะเดินหน้าเปิดประเทศอย่างเต็มที่ นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กอาจต้องรอจนถึงปลายปีนี้จึงจะมาเที่ยวญี่ปุ่นอย่างเสรีได้