ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 รูปแบบการทำงานของคนทั่วโลกก็เปลี่ยนไป โดยหลายบริษัทสามารถปรับไปสู่รูปแบบการทำงานแบบ Work From Home หรือทำงานจากที่บ้านได้ แต่หลังจากที่สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย ทำให้หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศอีกครั้ง แต่ก็มีพนักงานบางส่วนที่ ไม่เห็นด้วย และยังอยากที่จะ Work From Home 100% อยู่
ตัวอย่างของบริษัทที่กำลังเจอแรงต้านจากการให้กลับเข้าออฟฟิศก็คือ Apple ที่ได้ปรับให้พนักงานทำงานแบบไฮบริดโดยให้กลับเข้าออฟฟิศ 3 วัน/สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่ผ่านมาพนักงานกว่า 1,000 คนของ Apple ได้เขียนจดหมายถึงผู้นำของบริษัท ว่าขอให้ตัดสินใจด้วยตัวเองร่วมกับทีมและผู้จัดการโดยตรงว่าจะต้องกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีพนักงานหลายคนของบริษัท รวมถึงพนักงานระดับสูง อาทิ Ian Goodfellow ผู้อำนวยการด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งยื่นหนังสือลาออก เนื่องจากมองว่าการกลับมาที่ออฟฟิศทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ทั้งด้านสุขภาพและสุขภาพจิต โดยด้าน Apple เองยังปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น
นักวิเคราะห์มองว่าที่หลายบริษัทเริ่มให้กลับมาทำงานในออฟฟิศเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง, ร้านอาหาร, คอนเสิร์ต, ร้านค้าต่าง ๆ ทำให้ผู้บริหารไม่สามารถมั่นใจได้อีกต่อไปว่าพนักงานจะกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพท่ามกลางการผ่อนคลายต่าง ๆ ซึ่งต่างจาก 2 ปีก่อนที่พนักงานอาจตั้งใจทำงานเพราะไม่สามารถออกไปจากบ้านได้
อย่างไรก็ตาม เจมี่ ไดมอน ผู้บริหารระดับสูงของ JPMorgan Chase & Co. เป็นหนึ่งในนักวิจารณ์ที่ได้ออกมาพูดถึงเกี่ยวกับมาตรการ Work From Home มากที่สุด ได้ออกมาคาดการณ์ว่า การทำงานทางไกลจากที่บ้านกำลังจะกลายเป็น เรื่องถาวร ในอเมริกามากขึ้น และคาดว่าประมาณ 40% ของแรงงานกว่า 270,000 คน ของบริษัทเขาจะ ทำงานแบบไฮบริด ซึ่งจะมีทั้งวันที่เข้าออฟฟิศและวันที่ทำงานอยู่กับบ้าน
จากรายงาน ล่าสุด ของ Harvard Business School พบว่า การทำงานแบบไฮบริดสามารถลดอัตราการลาออกได้ถึง 35% และจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า คนอเมริกันลาออกจากงานในอัตราที่สูงเป็น ประวัติการณ์ในเดือนมีนาคมที่ 4.5 ล้านคน โดยสาเหตุที่ลาออกเป็นเพราะมองว่า ความยืดหยุ่น นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ขณะที่หลายบริษัทตกลงกันว่าจะกลับมาทำงานในออฟฟิศ 3-4 วัน แต่ระยะเวลาที่พนักงานต้องการคือ 1-2 วันในการเข้าออฟฟิศ
futurism / tech.hindustantimes