ถึงวันนี้ “จีน” ได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งการสร้างนวัตกรรมเบอร์สองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้จีนโดดเด่นและเป็นหนึ่งในอนาคตได้คือ การนำ “วัฒนธรรมซานไจ้” มาปรับใช้กับทุกการสร้างนวัตกรรมใหม่ หากจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ จีนได้ใช้วิธีเบสิกโดยการเลือกและรวมเอาข้อดีของนวัตกรรมนานาชาติมาผสานและสร้างขึ้นใหม่เป็นนวัตกรรมในแบบฉบับของตนเองที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งแนวคิดนี้ก็ได้ผลมากมายในทุกอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การสร้างยานอวกาศ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รวมถึงระบบโทรทัศน์ดิจิทัล ศูนย์กลางความบันเทิงในบ้านที่เราจะมาพูดถึงในคอลัมน์นี้ด้วย
จากเคเบิลทีวีสู่ดิจิทัลทีวี
นอกจากอเมริกา และประเทศใหญ่ๆ ในภาคพื้นยุโรปแล้ว ญี่ปุ่น เกาหลี และจีนถือเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่สามารถอัพเกรดระบบโทรทัศน์ให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลได้ ส่วนไทยกระทรวงไอซีทีได้ตั้งแผนเอาไว้ในปี 2020
จีน ประเทศขนาดใหญ่ที่มีสถานทีโทรทัศน์ 2,500 แห่ง เครื่องรับทีวี 500 ล้านเครื่อง กลับเป็นประเทศท้ายๆ ที่เข้าสู่วงการดิจิทัลทีวีด้วยระบบ DMB-T/H (ที่พัฒนามาตรฐานใหม่ขึ้นมาเอง) แต่การปรับตัวครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นความพร้อมทั้งเรื่องโครงข่าย อุปกรณ์รับสัญญาณ และเนื้อหา ที่รัฐบาลเป็นผู้สั่งให้ “จัดเต็ม” ในทุกจุด
วิธีการที่แยบยลในการให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้ดิจิทัลทีวี ก็คล้ายคลึงกับการปฏิรูปประเทศสมัยเติ้งเสี่ยวผิง นั่นก็คือ การเลือกเฉพาะเมืองที่มีรายได้ต่อหัวสูงก่อน อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เสินเจิ้น หังโจว นานกิง ฯลฯ โดยรัฐบาลเอาใจถึงขั้นแจกเครื่องรับสัญญาณ (Set-top-box) ฟรี แต่คนก็ยังบ่นอุบเมื่อต้องเสียเงินซื้อทีวีเครื่องใหม่โดยไม่จำเป็น ทั้งค่าบริการรายเดือนยังสูงกว่าระบบเคเบิลเกือบเท่าตัว (แต่ก็ยังถูกกว่าไทยมากตกเดือนละ 120 บาทเท่านั้น)
ปัจจุบันยอดล่าสุดของผู้ใช้ดิจิทัลทีวีในจีนพุ่งถึงกว่า 100 ล้านครัวเรือนแล้ว
จุดเด่น 5 ประการของทีวีดิจิทัลในจีน
1.รับสัญญาณได้ชัดขึ้นกว่าระบบเคเบิล
2.มีช่องให้เลือกดูหลัก 100 ช่องขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากสถานีโทรทัศน์ของแต่ละเมือง เพื่อเข้ากับแต่ละท้องถิ่น
3.มีเนื้อหาจำเป็นกับการใช้ชีวิตต่างๆ ให้เลือกดูทุกวัน เช่น ข่าว พยากรณ์อากาศ ข่าวประกาศ สมัครงาน ตารางการเดินรถ ร้านค้าเปิดใหม่ ขายของผ่านทีวี ส่วนใหญ่จะดูย้อนหลังได้ 3 วัน
4.เมื่อใดที่เราดูเนื้อหาต่างๆ และสนใจสามารถกดปุ่มซื้อของได้จากหน้าจอทันที เช่น ซื้อของผ่านจอทีวี หรือซื้อหนังใหม่จากระบบวิดีโอออนดีมานด์ (1เรื่องราคาไม่ถึง 5 บาท) รวมถึงจ่ายค่าสาธารณูปโภคอื่นๆ น้ำไฟ โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องออกไปต่อคิว และค่าใช้จ่ายจะรวมในบิลเดียว
5.ใช้เป็นศูนย์รวมความบันเทิงในครอบครัวได้ เช่น ร้องคาราโอเกะ เล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนบ้านผ่านจอทีวี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เมื่อกลางปี 2010 ทางการจีนลงทุน 3.5 ล้านล้านบาท เพื่อประกาศให้ 10 เมืองใหญ่ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ นานกิง หังโจว เสินเจิ้น ฮาร์บิ้น เสิ่นหยาง ฉงชิ่ง อู่ฮั่น ฉางฉา และซินโจว นำร่องการทำระบบ Triple Convergence ซึ่งรวมเอาระบบโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต และระบบทีวีดิจิทัลเอาไว้ด้วยกัน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานวิทยุภาพยนตร์และโทรทัศน์ของรัฐ (The Ministry of Industry and Information Technology and the State Administration of Radio, Film and Television (SARFT) และจะอยู่ในช่วงทดลองระบบไปถึงปีหน้า เริ่มใช้จริงปี 2013 ทั้งนี้ก็เพื่อหวังให้ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ก้าวพร้อมสู่โลกดิจิทัล รัฐบาลก็สามารถสร้างรายได้จากการเก็บภาษีอย่างเป็นกอบเป็นกำ และที่สำคัญที่สุดคือการรวมศูนย์เพื่อควบคุมดูแลเนื้อหาผ่านช่องทางต่างๆ ได้อยู่หมัดนั่นเอง
ซึ่งการเตรียมความพร้อมข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่า ดิจิทัลทีวีของจีนก็พร้อมปรับตัวอีกครั้งสู่ระบบ IPTV (Internet Protocal Television) อย่างเต็มรูปแบบเร็ววัน ซึ่งเป็นการหลอมรวมช่องทีวีระบบดิจิทัล เข้ากับเนื้อหาของเว็บวิดีโอชั้นนำที่ส่งมาจากอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ เพื่อให้ผู้ใช้ค้นหาช่องต่างๆ ดูได้ตามที่ตนต้องการทุกเมื่อที่อยากชม ซึ่งบริษัทวิจัยหลายแห่งก็คาดว่าปีนี้ จีนจะเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ IPTV มากที่สุดในโลกแซงหน้าฝรั่งเศส ด้วยยอดผู้ใช้ประมาณ 23 ล้านคน
CMMB มาตรฐานใหม่ของดิจิทัลทีวีบนมือถือ
มือถือดูทีวีได้ที่มาพร้อมกับเสารับสัญญาณยาวเหยียดหลังเครื่องนี้ เป็นนวัตกรรมจากเสินเจิ้นที่แผ่ขยายไปยังหลายทวีปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย อัฟริกา หรือแม้แต่ที่บางกอก และนี่ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่คนทั่วไปสามารถดูทีวีสดๆ จากฟรีทีวีในประเทศของตนผ่านหน้าจอมือถือขนาด 3 นิ้วได้
แต่แล้วการดูทีวีบนมือถือก็ยังถูกอัพเกรดไปยังระบบดิจิทัลด้วยเช่นกัน โดยจีนได้สร้างมาตรฐานการเผยแพร่สัญญาณทีวีระบบดิจิทัลผ่านมือถือและอุปกรณ์เคลื่อนที่อื่นๆ ในชื่อว่า CMMB หรือ China Mobile Multimedia Broadcasting (CMMB) ซึ่งเป็นการแพร่ภาพวิดีโอดิจิตอลจากดาวเทียมและทวนสัญญาณทางภาคพื้นดินไปยังอุปกรณ์มือถือ ซึ่งมีข้อดีมากมาย อาทิ
• เครื่องรับสิ้นเปลืองพลังงานต่ำ
• การรับสัญญาณระหว่างการเคลื่อนของอุปกรณ์ทำได้ในระดับที่ดีมาก
• มีการบีบอัดข้อมูลภาพ ทำให้ค่าใช้งานเน็ตลดลงโดยไม่ทำให้คุณภาพของภาพเสียไป
• สามารถส่งรายการโทรทัศน์เพิ่มขึ้นอีกเป็น 8-10 รายการ ต่อหนึ่งช่องสัญญาณ (จากที่เคยส่งสัญญาณได้เพียงช่องเดียวเมื่อครั้งเป็นระบบอะนาล็อก)
โดยการเผยแพร่ภาพสัญญาณภาพทีวีระบบดิจิทัลผ่านมือถือครั้งแรก คือ งานปักกิ่งโอลิมปิก ปี 2008 และขณะนี้ระบบ CMMB สามารถใช้ได้กับกว่า 300 เมืองในจีน ยอดผู้ใช้ล่าสุดคือ 10 ล้านคน
คอนเทนต์ฟรีมีทุกที่
ผลวิจัยล่าสุดสร้างความตกใจให้กับรัฐบาลจีน เกี่ยวกับยอดผู้ใช้ระบบ CMMB นั้นมีเพียง 3% ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อดูรายการพิเศษผ่านมือถือ เช่นเดียวกับยอดการซื้อบริการเสริมหน้าจอทีวีระบบดิจิทัลก็เช่นกัน เหตุผลหลักใหญ่ก็คือ เนื้อหาฟรีๆ หาได้ทุกที่
เพราะที่จีนคุณสามารถดูออนไลน์/ดาวน์โหลดหนัง ซีรี่ส์ จากทั้งในและต่างประเทศได้ฟรีบนเว็บไซต์นับหมื่นๆ เว็บ ฉะนั้นการนำเนื้อหาเดิมจากเน็ตมาให้จ่ายเงินเพื่อดูบนมือถือหรือจอทีวีย่อมเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้แล้วผู้ที่ทำเว็บวิดีโอออนไลน์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนย่อมปรับตัวได้เร็วกว่า มีการแปลงเว็บไซต์ให้อยู่ในรูปแบบแอพพลิเคชั่น ทั้งบนมือถือและแท็บเล็ตพีซี เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ได้รวดเร็ว โดยล่าสุดทางผู้จัดทำเว็บไซต์ Youku.com ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยูทูบจีน ได้เข้าไปเสนอตัวกับสตีฟ จ็อบส์ เพื่อเปลี่ยนไอค่อนของยูทูบ เป็นไอค่อนของ Youku แทน สำหรับไอโฟน 5 ที่จะขายในจีนแผ่นดินใหญ่ นั่นก็เพราะเว็บไซต์ youtube.com ถูกบล็อกในจีนมาตลอดหลายปี
ซึ่งแน่นอนว่ากรณีเหล่านี้ ก็มักจะมีปัญหาพัวพันกับกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ผู้นำจีนต้องคอยตอบเสมอๆ เวลาออกไปนอกประเทศ และไม่ได้เป็นปัญหาที่แก้ไขได้โดยไว หรืออีกนัยหนึ่งสำคัญคนจีนที่รู้ๆ กันก็คือ “มันไม่ได้เป็นปัญหา”
ปรากฏการณ์เน็ตสตาร์ ดังไว เปลี่ยนชีวิต
ที่ผ่านมาพูดถึงเรื่องโครงสร้างอันทันสมัยไฮเทคของระบบทีวีจีนไปแล้ว ประเด็นสุดท้ายที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้ก็คือ “คนดังชั่วข้ามคืน” จากโลกออนไลน์ของจีน อันที่จริงปรากฏการณ์แบบนี้ก็มีไปทั่วโลก ทุกพื้นที่ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
สำหรับจีนมันเริ่มมาตั้งแต่สมัยเว็บ 1.0 กับผู้นำเทรนด์คนแรกคือ “ฟูหรงเจ่เจ๊” (芙蓉姐姐) หรือ คนฝรั่งรู้จักกันในชื่อย่อ FRJJ) สตรีจากยุค 70’s ที่โด่งดังทั่วจีนจนข้ามโลกตั้งแต่ปี 2005 กับการ “กล้า” โพสต์ภาพตัวเองในหลายอิริยาบถ (ที่เธอคิดว่าสวยเซ็กซี่ที่สุด) ลงบน “บล็อก” ของตัวเอง วินาทีนั้นคนทั่วจีนพุ่งความสนใจมากที่เธอด้วยคำพูดปากต่อปากที่ว่า “เธอคือคนหลงตัวเอง” แต่หลังจากสื่อแท้ได้รายการเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเธอ คนก็เข้าใจและตีความเป้าประสงค์ของเธอออกเป็นหลายรูปแบบ ทั้งชื่นชมในความกล้า และถือเป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตยทางอ้อมของมวลชนธรรมดาภายใต้การปกครองที่สุดกดดันของรัฐบาลคอมมิวนิสต์
แต่หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลก็ออกโรงแบนฟูหรงเจ่เจ๊ด้วยวิธีโบราณ เช่น สั่งให้ทุกเว็บไซต์ลบข้อมูลเกี่ยวกับเธอ ปิดรายการโทรทัศน์ของเธอ แต่ในที่สุดเธอก็สานฝันนักเต้นได้สำเร็จด้วยการเปิดการแสดงสดของเธอเดี่ยวๆ ที่ปักกิ่งในอีก 3 ปีต่อมา
จะว่าไปแล้วเธอเองได้บอกถึงความตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวเองเช่นนี้ก็เพราะอยากให้เยาวชนที่ยังเด็ก กล้าที่จะบอกถึงความเป็นตัวเอง และเดินตามฝันได้สำเร็จ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีบล็อกเกอร์หญิงหลายคนในจีนเกิดเป็นสตาร์ เพราะกล้าที่จะพูดเรื่องส่วนตัวของตัวเอง และเผยแพร่สู่สาธารณชน เช่น มูจึเหม่ย สตรีจากกว่าวโจวผู้ซึ่งเปิดเผยเรื่องชีวิตเซ็กซ์ของเธอผ่านตัวอักษรบนบล็อก
หาน หาน วัยรุ่นมีหัวคิด
หนุ่มอีกคนที่สร้างปรากฏการณ์ดังผ่านเน็ตชั่วข้ามคืนก็คือ “หาน หาน (韩寒)” จากเด็กไม่เอาไหนเรียนไม่จบชั้นมัธยม แต่กลับกลายเป็นผู้นำทางความคิดของวัยทีนจีนทั้งประเทศได้ด้วยการแสดงออกซึ่งผลึกคิดของตัวเองผ่านทางบล็อก จนปีที่ผ่านมาฝรั่งยังยกย่องให้เขาเป็น 1 ใน 50 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกด้วย โดยอาศัยพรสวรรค์ด้านการเขียน เขาได้ใช้พื้นที่บนอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อ จนทำให้ตัวเองกลายเป็นนักเขียนระดับเบสท์เซลเลอร์ นักแต่งเพลง มีร้านหนังสือออนไลน์ของตัวเองที่เถาเป่า (ที่มีจุดขาย คือทุกเล่มได้ลายเซ็น) ทำนิตยสารของตัวเอง (ที่เปิดให้นักเขียนทั่วไปส่งเรื่องมาและจ่ายเงินให้สูงถึง 1 หมื่นบาท/1,000 ตัวอักษร) ทั้งยังทำฝันอย่างการเป็นแข่งรถได้สำเร็จ
ปัจจุบันเขาสร้างรายได้ทั้งทางตรงจากโฆษณาบนบล็อก การเป็นพรีเซ็นเตอร์เสื้อผ้าแบรนด์แวงเคิล และรายได้ทางอ้อมจากการโชว์ตัวมากมาย
อ่านบล็อกของเขาได้ที่นี่ http://blog.sina.com.cn/twocold
นอกจากผู้สร้างตัวเองให้ดังแล้ว ชาวเน็ตจีนก็ชอบตั้งประเด็นแปลกๆ เพื่อปั้นคนให้ดังโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวอีกมากมาย เช่น โหวตครูที่สวยที่สุด ขอทานหล่อที่สุด เด็กอัจฉริยะที่ฝันเป็นนักการเมืองตั้งแต่ประถม ฯลฯ จนทำให้คนเหล่านั้นได้มีสื่อหลักไปค้นพบ นำมาซึ่งการเปิดเผยตัวจริง และทำให้ชีวิตของพวกเขากลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืนได้จริงๆ