ผู้ผลิตรถยนต์ อาทิ Tesla, Rivian และ Cadillac กำลังปรับราคารถยนต์ไฟฟ้าของตนขึ้นท่ามกลางสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากต้นทุนสินค้าโดยเฉพาะวัตถุดิบหลักที่จำเป็นสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าราคาแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงมาหลายปีแล้ว แต่บริษัทแห่งหนึ่งคาดการณ์ว่าความต้องการแร่ธาตุแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจผลักดันราคาเซลล์แบตเตอรี่ให้สูงขึ้นกว่า 20% โดยราคาที่เพิ่มขึ้นยังไม่ร่วมราคาวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ที่พุ่งสูงขึ้นไปก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของซัพพลายเชนที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ในปีที่ผ่านมา เทสล่า (Tesla) ต้องปรับขึ้นราคาหลายครั้ง และปรับอีก 2 ครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเจอแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ที่ส่งผลต่อต้นด้านราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง จนปัจจุบัน รถยนต์รุ่น Standard ที่ถูกที่สุดของรุ่น Model 3 เริ่มต้นที่ 46,990 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% จาก 38,190 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
ส่วน Rivian ผู้นำรถกระบะอีวีรายแรกได้ปรับราคารถกระบะ R1T โดยจะเพิ่มขึ้น 18% เป็น 79,500 ดอลลาร์สหรัฐ และ R1S รถ SUV จะเพิ่มขึ้น 21% เป็น 84,500 ดอลลาร์สหรัฐ ด้าน Lucid Group ได้ประกาศวันที่ 5 พฤษภาคมว่าจะขึ้นราคารถซีดานหรูทุกรุ่นประมาณ 10-12% สำหรับลูกค้าในสหรัฐอเมริกาที่ทำการจองตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน
นอกจากนี้ General Motors (GM) ขึ้นราคารถอีวีอีกราว 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 62,990 ดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าต้นทุนสินค้าโดยรวมในปี 2022 จะอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น สองเท่า จากที่ผู้ผลิตรถยนต์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
คำถามคือ ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบางรายขึ้นราคา ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาแพงอยู่แล้วมีราคาแพงขึ้นไปอีก อีกทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่าจะส่งผลกระทบต่อการปฏิวัติรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ ให้เกิดขึ้นได้ช้าลงหรือไม่