“บิล เกตส์” เตือน COVID-19 ยังเสี่ยง แต่สถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” อาจรออยู่ข้างหน้า

หลังจากผ่านไปเกิน 2 ปีที่โควิด-19 เริ่มระบาด วันนี้ผู้คนจำนวนมากลดการป้องกันลง แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีอย่างบิล เกตส์ (Bill Gates) เชื่อว่าการระบาดใหญ่ยังไม่จบ และมีโอกาสที่ “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” จะยังรอชาวโลกอยู่ข้างหน้า

บิล เกตส์ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องโควิด-19 เพื่อโปรโมตหนังสือเล่มใหม่ของตัวเองที่ชื่อ “How to Prevention the Next Pandemic” ไม่เพียงให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไฟแนนเชียลไทมส์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม แต่ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยังออกมาพูดถึงโควิด-19 ในการตอบกระทู้ถามบน Reddit AMA (Ask Me Anything) ซึ่งบิล เกตส์หมั่นตั้งขึ้นมาเพื่อให้ชาวเน็ตเข้ามาถามคำถามได้ทุกเรื่องเป็นประจำทุกปี

สำหรับปีนี้ คำถามที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ถูกหยิบยกมาสนทนาอย่างคึกคัก ในช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังจากที่เกตส์ประกาศว่าได้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วเรียบร้อยเพื่อแสดงความเชื่อมั่นให้ชาวโลกทราบว่ายังคงมีความเสี่ยงเหลืออยู่จากการระบาดใหญ่ครั้งนี้ เจ้าพ่อ Microsoft จึงพยายามย้ำว่าโควิด-19 ยังมีตัวแปรอื่นที่จะสร้างความปั่นป่วนทั้งในเชิงการแพร่ระบาดและการเป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้

แต่เกตส์ย้ำว่าโควิดรอบนี้ยังมีความเสี่ยงเหลืออยู่อีกไม่ต่ำกว่า 5% และที่สำคัญคือ เกตส์เชื่อว่าโลกยังมาไม่ถึงจุดที่เป็น “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” ของโควิด-19 เลย

ไวรัสอาจกลายพันธุ์อีกครั้ง

บิล เกตส์ ตั้งข้อสังเกตว่าไวรัสอาจกลายพันธุ์อีกครั้งหลังจากที่ตัวเลขการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโควิดกำลังลดลง การออกมาแสดงความคิดเห็นนี้ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเติบโตทั่วโลก และการแพร่กระจายของโรคคือเครื่องเตือนใจชั้นเยี่ยมว่าโควิด-19 ยังคงแฝงตัวอยู่ในสังคม

สถิติจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังเติบโตทั่วทั้งสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้นเกิน 9% ในช่วงต้นพฤษภาคมทั่ว 39 รัฐในช่วงเวลานั้น ขณะที่สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึง 27 พ.ค. 2565 พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 4,837 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ (ม.ค. 2565) มีผู้ติดเชื้อสะสมไปแล้ว 2,211,076 ราย โดยการระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมในไทย 8,212 ราย และภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 29,910 ราย

สำหรับเกตส์ บทเรียนสำคัญจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 คือการวางแผนป้องกัน และการกำหนดมาตรการเฝ้าระวังจะสามารถช่วยให้โลกจัดการกับการระบาดใหญ่ในอนาคตได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของหนังสือ “How to Prevention the Next Pandemic” ที่กำลังจะออกเผยแพร่ในปลายปีนี้

หนึ่งในข้อเสนอของบิลเกตส์คือการกระตุ้นให้องค์การอนามัยโลกลุกขึ้นมาตั้งทีมเฝ้าระวังระดับโลก ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถมองเห็นภัยคุกคามด้านสุขภาพแบบใหม่ในระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทีมนี้ควรจะประสานงานกับรัฐบาลทั่วโลกอย่างฉับไวเพื่อป้องกันไม่ให้ความเจ็บป่วยในอนาคตกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ได้อีก
ไม่เอาแล้วนะแบบเดิม

เพื่อไม่ให้โลกต้องฟกช้ำในรอยเดิม เกตส์ย้ำว่าการตั้งทีมนี้จะต้องระดมทุนมหาศาลจาก WHO และประเทศสมาชิก ไม่เพียงผนึกกำลังทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก รวมทั้งนักระบาดวิทยาและนักไวรัสวิทยา แต่ยังต้องจัดหาเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการระบุและควบคุมการระบาดในอนาคตในเชิงรุก

เกตส์ตั้งชื่อหน่วยงานไว้คร่าวๆ ว่า โครงการ “Global Epidemic Response and Mobilization” (GERM) ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับแผนที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ในการประชุม TED ปี 2022 เมื่อเดือนเมษายน เวลานั้นเกตส์ตั้งข้อสังเกตว่า WHO น่าจะต้องใช้เงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อจัดตั้งทีมรับมือระดับโลกดังกล่าว ซึ่งแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ต้นทุนของการระบาดใหญ่ครั้งหน้าอาจจะสูงกว่านี้มากนัก

ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าการระบาดของโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจโลกเสียหายกว่า 12.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกัน และมีแนวโน้มว่าผู้คนทั่วโลกกว่า 6.2 ล้านคนต้องเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ผลจากการที่พวกเราชาวโลกไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดนี้อย่างเหมาะสม ตามที่ WHO และเกตส์ได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“สำหรับผม ในนามของพลเมืองโลก มันดูบ้าไปหน่อยที่เราไม่ยอมหาบทเรียนจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และจะไม่ลงทุนอะไรเลย เราจำเป็นต้องใช้เงินหลายพันล้าน เพื่อประหยัดเงินหลายล้านล้าน”

(Photo by John Lamparski/Getty Images)

นอกจากแนวคิดเรื่องการตั้งทีม GERM และข้อเสนอแนะอื่น เกตส์ยังให้น้ำหนักกับการต่อสู้เรื่องการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และการทำให้วัคซีนเข้าถึงได้ง่ายทั่วโลก โดยเกตส์กล่าวว่าเป้าหมายส่วนตัวในปี 2022 ของเขาคือ “การทำให้แน่ใจว่า โควิด-19 เป็นโรคระบาดครั้งสุดท้าย”

และในขณะที่เกตส์ย้ำเตือนว่าอย่าเพิกเฉยต่อความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ของโควิด-19 มหาเศรษฐีระดับโลกยังไม่ลืมแสดงความมองโลกในแง่ดีว่า โควิด-19 จะสามารถจัดการได้มากขึ้นในฤดูร้อนปีนี้ เพราะในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่จะสามารถรักษา Covid ได้เหมือนเป็น “ไข้หวัดตามฤดูกาล”

ในกระทู้บน Reddit AMA มีผู้ตั้งคำถามเชิงว่าในเมื่อบิล เกตส์ ไม่ได้จบปริญญาทางการแพทย์ แล้วมายุ่งเกี่ยวกับวงการยาหรือวงการเพทย์ทำไม? และเพราะเหตุใด ความคิดเห็นทางการแพทย์ของบิล เกตส์จึงควรมีความสำคัญ? เกตส์ตอบว่าเพราะมูลนิธิของเขามีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จำนวนมาก และการรับมือกับโรคระบาดจำเป็นต้องใช้ทักษะมากมายในการดำเนินการสิ่งต่างๆ ทั้งการกำจัดโรคมาลาเรีย หรือวัคซีนและการรักษาโควิด เมื่อเกตส์ได้ฟังผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับคำแนะนำทางการแพทย์ที่เฉพาะเจาะจง ว่าระบบป้องกันการแพร่ระบาดจะต้องใช้มากกว่าแพทย์ ดังนั้น เกตส์จึงเขียนหนังสือเพื่อเริ่มการอภิปรายว่า เราชาวโลกควรต้องปฏิบัติอย่างไร

เพื่อไม่ให้สถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” ปรากฏตรงหน้าเรา

ที่มา :Cnbc, Geekwire