ลิเธียม ถือเป็นโลหะหายากที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟ โดยราคาพุ่งขึ้น 5 เท่า นับตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว เนื่องจากความต้องการจากผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น ตามรายงานล่าสุดของบริษัทวิจัย Argus สื่อของอังกฤษ แต่ไม่ใช่แค่ลิเธียม ราคาโลหะอื่น ๆ เช่น โคบอลต์และนิกเกิลที่ใช้สำหรับผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 30-40% ของราคารถอีวีทั้งคัน
ความต้องการใช้แร่โลหะที่เพิ่มขึ้น มาพร้อมกับที่รัสเซียรุกรานยูเครน ทำให้ซัพพลายเชนลิเธียมหยุดชะงัก ในทางกลับกัน อาจส่งผลให้ราคาของรถอีวีสูงขึ้นอีก อาจทำให้ผู้บริโภคอาจชะลอการเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถอีวี
จากข้อมูลของ Argus ระบุว่า จีน เนื่องจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่จำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในจีน ทำให้ราคาของลิเธียมมักซื้อขายในสกุลเงินหยวน ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณ 89,000 หยวนต่อตัน (เมษายน 64) เป็น 486,000 หยวนต่อตันในปัจจุบัน ส่วนราคาโคบอลต์เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า และ นิกเกิลเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน
การเพิ่มขึ้นของราคานิกเกิลเกิดขึ้นหลังจากรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตโลหะรายใหญ่บุกยูเครน ทำให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานในสหรัฐอเมริกา Toshihide Kinoshita นักวิเคราะห์อาวุโสของ SMBC Nikko Securities Inc. กล่าวว่า หากราคาของโลหะหายากและวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จำเป็นต้องขึ้นราคารถอีวีขึ้น 30% หรือมากกว่านั้น หรืออย่างที่ผ่านมา Tesla ขึ้นราคาสินค้าทั้งหมดในช่วงต้นปีเพื่อผลักภาระค่าวัตถุดิบที่สูงขึ้นให้กับลูกค้า
“ต้นทุนวัตถุดิบอาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้รถอีวีแพร่หลายได้ช้าลง”
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงของ Ford คาดว่า อีก 4-5 ปีอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสงครามราคาครั้งใหญ่ เนื่องจากต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าลดลง โดยเฉพาะเคมีภัณฑ์แบตเตอรี่แบบใหม่ที่ใช้โลหะมีค่าที่มีราคาแพงและหายากน้อยลง เช่น นิกเกิลและโคบอลต์ ที่ราคากำลังพุ่งสูงอยู่ตอนนี้
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์กำลังเร่งไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อเผชิญกับความพยายามระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ส่งผลให้มีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการสินค้าและราคาจะเพิ่มขึ้นอีก โดย Toyota กล่าวในเดือนธันวาคมว่ามีเป้าหมายที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้า 3.5 ล้านคันทั่วโลกในปี 2030 ส่วนบริษัท Honda ตั้งเป้ายอดขายต่อปีที่ 2 ล้านคัน ด้าน Nissan ตั้งเป้ายอดขาย 50% ของยอดขายทั้งหมดในปีเดียวกัน