"ตัน" กะ "โน้ส" เมื่อความสัมพันธ์ Can run business

ใครดังกว่าใคร ระหว่าง ตัน – ตัน ภาสกรนที กับ โน้ส – อุดม แต้พานิช

คงตอบไม่ได้แน่ชัด เพราะโลกนี้ไม่มีสเกลวัดความดังที่แน่นอนระหว่าง ตัน กับ โน้ส สองคนนี้ต่างคนต่างอยู่ ต่างก็มีทางของตัวเอง

แต่เมื่อโคจรมาเป็นเพื่อนกันแล้ว นอกจากเคมีจะเข้ากันได้ดีในแง่ของความสัมพันธ์ของการเป็นเพื่อนต่างวัย ยังมีคุณสมบัติที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้โดยธรรมชาติอีกด้วย เพราะทั้งแบรนด์ตันและแบรนด์โน้สมีกลุ่มเป้าหมายที่โอเวอร์แล็ปกันอยู่ นั่นคือกลุ่มผู้บริโภคที่เป็น Innovator และ First Adopter ซึ่งพร้อมรับและลองอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงรูปแบบใหม่อย่างเดี่ยวไมโครโฟน ซึ่งโน้สเป็นคนริเริ่มทำอย่างจริงจังในเมืองไทย จนกลายเป็นเดี่ยวมือหนึ่งเรื่องเดี่ยวไมโครโฟนของประเทศ ส่วน ตัน เป็นนักบริหารการตลาดที่ทำได้ทุกอย่าง พร้อมจะลุยด้วยตัวเองเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับการทำตลาด โดยเฉพาะโปรโมชั่นที่สร้างสีสันให้กับตลาดแบบไม่เคยมีผู้บริหารคนไหนทำเองเล่นเองมาก่อน

เมื่อตันขายโออิชิแล้วเริ่มคิดจะทำธุรกิจใหม่ สินค้าใหม่ของตันจึงต้องการเด็กหัวคิดใหม่มาทำงานด้วย

คนที่จะคิดใหม่คิดแปลกได้ แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ต้องมีตันเป็นไอดอลอยากประสบความสำเร็จด้วยพลังสมองและสองมือ เมื่อมีคนหยิบยื่นทุน จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงฝีมือกันเต็มที่ แต่ 9 นักการตลาดที่ตันคัดมาร่วมงานและให้สิทธิ์ในการถือหุ้นบริษัทไม่ตันด้วย ในรอบแรก แม้จะผ่านคัดตอนการคัดสรรจากคนจำนวนมาก แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีใครสามารถเปล่งรัศมีได้เหมือนตัน

เมื่อทั้ง 9 คนในนามบริษัท ไม่ตัน ได้ผลิตภัณฑ์ ดับเบิ้ล ดริ้งค์ ออกสู่ตลาด จึงต้องอาศัยความแรงของตันและโน้สมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในภาพยนตร์โฆษณาช่วยผลักดันสินค้าใหม่ให้เป็นที่รู้จัก พวกเขาได้กลุ่มคนวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ที่ชอบทดลองสินค้าใหม่ๆ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานลูกค้าทั้งของตันและโน้ส เป็นกลุ่มเป้าหมายแรกเข้ามาทดลองสินค้า

การตลาดดี โปรดักต์ก็แปลกใหม่ แต่ยังไม่โดน ทำให้สินค้าเมื่อพ้นระยะทดลองอาจจะไม่ขยับเขยื้อนมากนัก เพราะสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร ไม่มีอะไรสำคัญเท่ารสชาติ ที่จะเป็นตัวขายที่ดีที่สุด ทุกอย่างเป็นแค่ตัวกระตุ้น เมื่อเรียกลูกค้าเข้ามาได้ จุดขายที่แท้จริงต้องเป็นตัวทำงานหน้าที่ต่อคือรสชาติ ถ้ารสชาติไม่ใช่รสนิยมที่ตลาดต้องการ ผลตอบรับก็จะสะท้อนมาที่ยอดขายทันที

ดับเบิ้ล ดริ้งค์ ราคา 20 บาท ขนาด 420 มิลลิกรัม กลายเป็นการโชว์มุกตลกเล็กๆ ระหว่างคู่ขำ ตัน กะ โน้ส ผ่านภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ คนส่วนใหญ่รู้จัก จดจำได้ ขำกับมุกในแนว “เออ คิดได้ไง ทำไปได้” แต่ใครจะรู้ว่าเพียงไม่นานหลังจากนั้น รูปทรงขวดผอมสูงคอดกลางของดับเบิ้ล ดริ้งค์ จะแปลงร่างขยายพันธุ์ไปเป็นขวดของผลิตภัณฑ์ชาเขียวแบรนด์ใหม่ของตัน

แค่ประเภทสินค้าที่เป็นชาเขียว แม้จะต่อท้ายว่าออร์แกนิก ก็เป็นการสร้างปรากฏการณ์เริ่มต้นศึกครั้งใหม่ในตลาดชาเขียวให้ร้อนแรงขึ้นมาทันที

การโฆษณาสำหรับชาเขียว ตัน ไม่ได้เลือกใช้ โน้ส กับ ตัน

วิเคราะห์ได้ว่า หนึ่ง-เพราะจะซ้ำกับรอบที่แล้วซึ่งมีระยะห่างกันเพียงไม่นาน สอง-โน้สไม่มีอะไรที่จะแสดงออกหรือเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว หรือความเป็นออร์แกนิก

แต่ชาเขียวของตัน ก็เกี่ยวพันกับโน้สโดยอ้อมอยู่ดี

หากสังเกตดูเครือข่ายของพรีเซ็นเตอร์ที่ตันเลือกใช้ในโฆษณาชาเขียวอิชิตัน คนกลุ่มนี้สะท้อนภาพโดยตรงถึงกลุ่มเป้าหมายของสินค้าที่มีไลฟ์สไตล์การใช้งานโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เป็นคนรุ่นใหม่ มีแฟนคลับของตัวเอง ตัวแทนที่ออกมาถือขวดชาเขียวและร่วมพูดชื่อแบรนด์อิชิตันในโฆษณา จึงเป็นคนในเครือข่ายออนไลน์และเป็นกลุ่มไอดอลของคนรุ่นใหม่ หรือมีความเป็นคนทันสมัยจัดอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยตัวของพวกเขาเอง ที่สำคัญหนึ่งในคนกลุ่มนี้ คือ ป็อป-อารียา อดีตนางสาวไทย และอดีตเพื่อนสนิทโน้ส รวมอยู่ด้วย

สิ่งที่ฮือฮา ไม่ใช่โฆษณา แต่คือการที่ตันหันมาทำชาเขียว และปรับขนาดขวดให้เล็กลง พร้อมราคาที่ดูเหมือนจะถูกลงเพราะปรับลดลงตามขนาดขวด แต่สิ่งที่ทำให้อดคิดกลับไม่ได้ว่า ขวดดับเบิ้ล ดริ้งค์ที่แท้จริงแล้วนั้น คิดขึ้นมาไว้สำหรับบรรจุชาเขียวออร์แกนิกตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า เพราะดีไซน์ฉลากพลาสติก Shrink Film ที่หุ้มอยู่ด้านนอกขวดนั้น ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ

เปรียบเทียบการปล่อยโฆษณาดับเบิ้ล ดริ้งค์และชาเขียว ก็ยังมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

โฆษณาดับเบิ้ล ดริ้งค์ แม้จะออกมา 2 เวอร์ชั่น แต่ก็ทำขึ้นด้วยโปรดักชั่นง่ายๆ เล่นกันเองสนุกๆ ระหว่าง ตัน กับ โน้ส ซึ่งออกมาแสดงเพียงสีหน้าแบบโน้ส แล้วคอยตบท้ายด้วยมุกตลกหน้าตายของตันด้วยคำว่า “ลึกซึ้ง” เพียงเท่านี้ แต่ด้วยความเป็นบุคคลระดับ Idol คูณสอง ก็ทำให้โฆษณากลายเป็นกระแส ได้รับการพูดถึง เป็นมุกตลกที่ใช้กันแพร่หลาย จนกระทั่งบริษัทไม่ตันจัดประกวดโฆษณาดับเบิ้ลดริ้งค์ ลึกซึ้งคอนเทสต์ ออกมาให้ลูกค้าร่วมสนุกส่งคลิปมาประกวดชิงรางวัลมูลค่าสูง

ในจำนวนนี้มีรางวัลที่ผู้บริหารอื่นอาจจะให้ไม่ได้และลูกค้าก็ไม่อยากได้ นั่นคือ การได้ “ลึกซึ้ง Meet and Greet กับตัน” เป็นส่วนหนึ่งของรางวัลนอกเหนือจากของรางวัลอื่น ถือว่าตันรักษาความเป็นผู้บริหารแบบตัน ที่ต้องใช้ตัวตนเข้าร่วมโดยไม่หลุดคอนเซ็ปต์ได้ดี

ส่วนโฆษณาชาเขียวอิชิตันรอบนี้แม้ไม่มีโน้ส แต่ตันก็จัดเต็ม ลงทุนเอง แสดงเอง แม้กระทั่งโพสต์โฆษณาของตัวเองทั้งในเฟซบุ๊กและในยูทูบ ไม่ต่างจากภาพของตันที่ปรากฏเป็นทุกอย่างในหนังโฆษณาที่ต้องการสื่อให้เห็นว่าชาเขียวออร์แกนิกขวดนี้ ปลูกด้วยรักและแรงใจทั้งหมดของตันนั่นแหละ พร้อมกับพยายามสื่อความเป็นออร์แกนิกไว้ในโฆษณาด้วยการจับภาพไปที่ป้าย “ไร่ชาเขียวออร์แกนิกปลอดสารพิษ” ฝูงผีเสื้อ และแมลงศัตรูพืชในไร่ชา จนกระทั่งเข้าสู่กระบวนการผลิตในโรงงานและส่งออกสู่ตลาด

ก่อนหน้าจะมีอิชิตัน ทุกครั้งที่ตันขึ้นเวทีบรรยายที่ไหน เขาจะต้องหนีบเอาดับเบิ้ล ดริ้งค์ไปดื่ม ไปวางไว้ใกล้ตัวบนเวทีด้วยทุกครั้ง ทำแบบเดียวกับสมัยที่ปลุกปั้นและดูแลชาเขียวโออิชิให้ติดตลาดอย่างไรอย่างนั้น และเชื่อว่าชาเขียวอิชิตันก็จะกลายเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากหรือประกอบการบรรยายทุกที่ของตันต่อจากนี้ไปเช่นกัน

สงสัยอยู่แค่ ชาเขียวอิชิตัน จะเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากของเดี่ยว 9 ของโน้สที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ด้วยไหม แล้วโปรโมชั่นของชาเขียวอิชิตันที่จะมีต่อไปในภายหน้า จะมีโน้สเป็นส่วนหนึ่งของการให้รางวัลแก่ลูกค้าบ้างหรือเปล่า

(อ่านประกอบ โน้ส-ตัน เรื่องมันส์ๆ ของแบรนด์บิวท์แบรนด์ ฉบับเดือนสิงหาคม 2010)