เลย์ x มาม่า OK การ Collab ครั้งแรกของมาม่า ภารกิจดัน “มาม่า OK” ให้แมส

โดยปกติแล้วเราจะได้เห็น “เลย์” และ “มาม่า” ต่างออกรสชาติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง มีทั้งรสชาติตามกระแส หรือรสชาติที่มีความพิเศษบางอย่าง เป็น Limited Edition

แต่การร่วมมือกันครั้งนี้ของเลย์ และมาม่า มีความพิเศษตรงที่เป็นการพัฒนารสชาติร่วมกัน แล้วออกรสชาตินั้นด้วยกัน ทำหนังโฆษณาด้วยกัน แต่ไม่มีโลโก้ของอีกฝ่ายอยู่บนสินค้าของตัวเอง

ก่อนหน้านี้เราอาจจะเคยเห็นเลย์ออกรสชาติใหม่ๆ ด้วยการนะเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อ หรือที่คนไทยชื่นชอบมาทำรสชาติใหม่ และ Collab กับแบรนด์ต่างๆ เช่น รสวิงค์แซ่บ ทำร่วมกับ KFC, รสชีสพิซซ่า ทำร่วมกับพิซซ่าฮัท รวมไปถึงการให้เชฟชื่อดังมาเนรมิตเมนู รสชาติใหม่ๆ ด้วย

ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า “มาม่า” ไม่เคย Collab กับแบรนด์ใดๆ เลย ไม่ว่าจะกับแบรนด์ของกิน หรือของใช้ การร่วมมือกันครั้งนี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมาม่าตั้งแต่ทำตลาดมา 50 ปี

เพชร พะเนียงเวทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ทายาทเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของมาม่า ได้เริ่มเล่าให้ฟังว่า

ก่อนหน้านี้มีหลายแบรนด์ติดต่อมาขอ Collab กับมาม่า เขาอยากได้ชื่อมาม่าไปอยู่ในแบรนด์ด้วย แต่ไม่เคยรับเลย ความร่วมมือนี้เป็นการ Collab ครั้งแรก เขามองว่าไม่อยากเอา Asset ของมาม่าไปไว้กับสินค้าอะไรทั้งสิ้น

แล้วความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เพชรเล่าย้อนไปว่า

ย้อนกลับไปตอนเดือนพ.ค. 64 ตอนนั้นเลย์มีอีเวนต์ภายในบริษัท เป็นการเชิญบุคคลภายนอกไปพูดคุยด้วย และได้เชิญทางมาม่าไปแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ว่าทำอะไรมาบ้าง จากการแชร์ประสบการณ์ในตอนนั้นทำให้เกิดการพูดคุยกันว่าทั้งคู่ก็มีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสก็อยากทำอะไรร่วมกัน

เกิดเป็นความร่วมมือในเฟสแรก ได้ร่วมทำโปรโมชันสำหรับรสชาติที่มีอยู่ในตลาด ส่วนเฟสสองได้ทำรสชาติร่วมกัน จึงออกมาเป็น 2 รสชาติใหม่ “ชิลลี่แครบ – มิโซะบัตเตอร์” ภายใต้แบรนด์มาม่า OK

เนื่องจากทั้งคู่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่นเหมือนกัน ชอบออกรสชาติใหม่เหมือนกัน อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมาย และได้แลกเปลี่ยนฐานลูกค้ากันด้วย แต่การออกรสชาติใหม่ในครั้งนี้ ไม่ได้หยิบยกรสชาติที่มีอยู่ในตลาดมาใส่ซองของแต่ละคน แต่เป็นการพัฒนาร่วมกัน

เพชรเล่าว่า มาคุยกันว่า R&D ของทั้งคู่ ตอนนี้มีรสชาติไหนที่ยังไม่ได้ออกสู่ตลาด พอมาดูก็พบว่ามีรสชาติที่ซ้ำกันอยู่ เลยหยิบเอามาทำด้วยกัน อย่างรสชิลลี่แครบ ได้แรงบันดาลใจจากร้านจัมโบ้ เป็นร้านอาหารซีฟู้ดชื่อดังของสิงคโปร์ ส่วนมิโซะบัตเตอร์ก็ได้แรงบันดาลใจจากเมนูอาหารญี่ปุ่นยอดนิยม เห็นว่าช่วงนี้หลายคนยังเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ การทำรสชาติอาหารต่างประเทศก็เป็นความคิดที่ดี

เพชรบอกอีกว่า ปกติมาม่าออกสินค้าใหม่อยู่แล้ว แต่ก็แค่รสชาติใหม่ธรรมดา แต่ครั้งนี้เป็นการทำร่วมกัน การมีแพ็กเกจจิ้งเดียวกัน หนังโฆษณาเดียวกัน มันได้พลังมากกว่า มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่แค่การโคแบรนด์แบบเอาโลโก้ของทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน

ดันมาม่า OK ให้แมส

มาม่าได้ทำตลาดสินค้ากลุ่มพรีเมียมมา 16 ปีแล้ว แต่เดิมใช้ชื่อแบรนด์ Oriental Kitchen สินค้าจะเป็นบะหมี่เส้นเหนียวนุ่มกว่ามาม่าปกติ ห่อใหญ่กว่า ราคาสูงกว่า แต่ได้ทำการรีแบรนด์ใหม่เมื่อ 4 ปีที่แล้วให้เป็น มาม่า OK ปรับลุคให้เป็นบะหมี่สไตล์เกาหลี จับกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-25 ปี

ด้วยตัวมาม่ารสชาติหลักมีความแมสในตัวเองอยู่แล้ว กลุ่มเป้าหมายทุกเพศ ทุกวัย แต่ด้วยมาม่า OK ที่มีรสชาติแตกต่างออกไป อีกทั้งราคายังสูงกว่าปกติ จำเป็นต้องทำการตลาดมากขึ้น ทำให้คนรู้จักมากขึ้น การร่วมมือกับเลย์ครั้งนี้จึงเป็นภารกิจในการดันให้มาม่า OK แมสมากขึ้นนั่นเอง

ในปี 2564 ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่า 18,000 ล้านบาท เติบโต 5-6% กลุ่มพรีเมียมมีสัดส่วน 20% มีการเติบโต 30% ทำให้เห็นเทรนด์ของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเซ็กเมนต์พรีเมียมก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เพชรมองว่าถ้าทำให้สินค้าตัวนี้แมสได้ มีโอกาสดันรายได้สินค้ากลุ่มพรีเมียมให้มีสัดส่วนเป็น 30% ได้

“อยากให้มาม่า OK ไปแมสมากขึ้น ตอนนี้ผู้บริโภคกินเร็ว ลองเร็ว เบื่อเร็ว การออกสินค้า Limited ช่วยสร้างกระแสได้ จะมีช่วงพีคอยู่ ก็สามารถสร้างรายได้ในช่วงนั้น”

ปัจจุบันมาม่า OK มีทั้งหมด 7 รสชาติ ซึ่งรสชาติที่ขายดีที่สุด ได้แก่ ฮอตโคเรียน, ผัดไข่เค็ม และฮอตแอนด์สไปซี่