“มาม่า” บุกหนัก “จีน” – คืนสังเวียนตลาด “เวียดนาม” เตรียมเพิ่ม​ “โรงงาน” ใหม่ในไทย ลงทุน 2 พันล้าน

มาม่า
  • อัปเดตแผน “มาม่า” วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 50% โดยจะเริ่มบุกหนักในตลาด “จีน” หลังสินค้าไทยเป็นที่นิยม และหวนคืนสังเวียนในตลาด “เวียดนาม” ที่เคยต้องถอยกลับเมื่อปี 2542
  • ด้านการผลิตปีนี้มีการย้ายฐานผลิตในเมียนมาจากย่างกุ้งสู่มัณฑะเลย์ พร้อมเพิ่มไลน์ผลิตหลังดีมานด์ในเมียนมาเติบโต อนาคตวางแผนเพิ่ม “โรงงาน” แห่งใหม่ในไทย 1 แห่ง 8 ไลน์การผลิต งบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท รองรับดีมานด์ได้ 10 ปี

เมื่อปี 2565 “มาม่า” ประกาศแผนเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% ของรายได้รวม จากปัจจุบันมีรายได้จากต่างประเทศ 30% จากการส่งจำหน่ายไป 68 ประเทศ

มาถึงโค้งท้ายปลายปี 2566 “พันธ์ พะเนียงเวทย์” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) อัปเดตความคืบหน้าในแต่ละตลาด ไฮไลต์สำคัญคือ “จีน” และ “เวียดนาม” ที่กำลังเป็นเป้าหมายหลัก

มาม่า
“พันธ์ พะเนียงเวทย์” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)

พันธ์อธิบายว่า มาม่าเคยลงทุนหนักใน “จีน” ช่วงปี 2541-42 ก่อนจะผ่อนคันเร่งเพราะไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีนัก หลังจากนั้นมาม่ายังส่งขายในตลาดจีนแต่ไม่ได้ทำการตลาดมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในระยะอันใกล้มาม่าจะกลับไป ‘บุกหนัก’ ในจีนอีกครั้ง

“เมื่อก่อนสินค้าไทยไม่เป็นที่นิยม แต่ตอนนี้คนจีนกลับมานิยมสินค้าไทย และมองว่าสินค้าไทยเป็นของพรีเมียม ทำให้เราต้องกลับไปเจาะตลาดให้ได้ โดยจะเน้นทำการตลาดแบบไวรัลบน Douyin (*ชื่อแพลตฟอร์ม TikTok ในจีน) และใช้ KOL เป็นหลัก จีนมีประชากรถึง 1 พันล้านคน ขอเพียงเราเจาะได้ 1% ก็ถือว่าเป็นตลาดใหญ่แล้ว” พันธ์กล่าว

ส่วนอีกตลาดที่น่าสนใจคือ “เวียดนาม” ซึ่งก็เคยถอยออกมาในช่วงปี 2542 เช่นกัน เพราะคู่แข่งแบรนด์ท้องถิ่น 3-4 แบรนด์แข็งแรงมาก และเวียดนามเป็นตลาดที่ต้องทำสงครามราคา แต่ด้วยจำนวนประชากร 100 ล้านคนจึงเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ อีกทั้งห้างสรรพสินค้าสัญชาติไทยยังเข้าไปเปิดในเวียดนามจำนวนมาก

พันธ์กล่าวว่า ปี 2567 น่าจะได้เห็นแผนที่ชัดเจน โดยขณะนี้กำลังเจรจาพาร์ทเนอร์เพื่อพา “มาม่า” เข้าสู่ตลาดเวียดนามอีกครั้ง

มาม่า
มาม่า ที่จำหน่ายในต่างประเทศ (Photo: Facebook@mamaglobalofficial)

อีกตลาดที่มาม่ากำลังดูศักยภาพ คือ “ทวีปแอฟริกา” ปัจจุบันไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์เข้าไปถือหุ้นในโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งในประเทศเคนยา และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตให้กับพาร์ทเนอร์ร่วมทุน

ขณะนี้ในตลาดเคนยาใช้แบรนด์บะหมี่กึ่งฯ ของพาร์ทเนอร์ในการจำหน่าย ยังอยู่ระหว่างดูผลตอบรับในตลาดแอฟริกา เพราะถือเป็นตลาดที่ยังต้องประชาสัมพันธ์การรับประทานบะหมี่กึ่งฯ ถ้าหากตลาดน่าสนใจมากขึ้น อาจจะมีการนำแบรนด์มาม่าเข้าไปจำหน่าย

ส่วนตลาดในกลุ่มชาวตะวันตก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ออสเตรเลีย เป็นกลุ่มที่บริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงทางการตลาด จากเดิมเน้นลงขายในร้านค้าเอเชีย (Asian Store) เพื่อเจาะกลุ่มผู้อพยพชาวเอเชีย ขณะนี้ต้องเปลี่ยนมาลงขายในห้างสรรพสินค้าทั่วไปให้ได้ เพราะกลุ่มคนเอเชียรุ่น 2-3 มีวิถีชีวิตที่เหมือนกับคนท้องถิ่นมากขึ้น ซื้อสินค้าตามห้างฯ ปกติมากกว่าร้านค้าเอเชีย

 

ลงทุนโรงงาน “มาม่า” แห่งใหม่ 2 พันล้าน

ด้านกำลังการผลิต พันธ์กล่าวว่าปัจจุบันโรงงานของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ทั้งหมด เฉพาะกลุ่มบะหมี่เหลือง สามารถผลิตแบบซองได้ 180 ล้านซองต่อเดือน และแบบถ้วย 36 ล้านถ้วยต่อเดือน

โรงงานผลิตของบริษัท ในไทยมีทั้งหมด 5 แห่ง และต่างประเทศ 4 แห่ง ได้แก่

  • จ.ชลบุรี 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 16 ไลน์การผลิต
  • จ.ลำพูน 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 10 ไลน์การผลิต
  • จ.ระยอง 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 7 ไลน์การผลิต
  • จ.ราชบุรี 2 แห่ง ผลิตเส้นหมี่ขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก ข้าวต้ม
  • ประเทศฮังการี 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 2 ไลน์การผลิต
  • ประเทศบังคลาเทศ 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 1 ไลน์การผลิต
  • ประเทศกัมพูชา 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 2 ไลน์การผลิต
  • ประเทศเมียนมา 1 แห่ง ผลิตบะหมี่เหลือง 3 ไลน์การผลิต
มาม่า
โรงงานไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (มาม่า) จ.ชลบุรี

พันธ์กล่าวว่า ปี 2566 นี้บริษัทมีการเพิ่มกำลังผลิตแล้วในเมียนมา โดยย้ายฐานผลิตจากเมืองย่างกุ้งไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อขยายโรงงานให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มไลน์ผลิตจากเดิม 2 เป็น 3 ไลน์การผลิต ตอบรับดีมานด์ในเมียนมาที่เติบโต

ส่วนการผลิตในไทย คาดว่าจะเพิ่มเครื่องจักรอีก 1 ไลน์การผลิตที่โรงงาน จ.ระยอง ภายใน 2 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้โรงงานทุกแห่งที่บริษัทมีในไทยพื้นที่เต็ม ไม่สามารถขยายกำลังผลิตเพิ่มได้อีก

ดังนั้น ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์จึงมีแผนเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง ใช้พื้นที่ราว 50-60 ไร่ เพื่อลงเครื่องจักรได้ 8 ไลน์การผลิต เพียงพอสำหรับรองรับดีมานด์ตลาดได้อีก 10 ปี คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยเป็นการทยอยลงทุนในช่วง 10 ปีข้างหน้า

โรงงานไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (มาม่า) จ.ชลบุรี

ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเปิดโรงงานใหม่ในพื้นที่ใด แต่กำลังคัดเลือกหาที่ดินระหว่างพื้นที่อีอีซีซึ่งบริษัทมีโรงงานเดิมอยู่แล้ว หรือเลือกพื้นที่อื่นๆ ที่รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุน เช่น ริมแม่น้ำโขง

สำหรับการเติบโตช่วงปี 2566-67 พันธ์กล่าวว่า ยอดขายมาม่าปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 4% ปิดยอดขายราว 15,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 11,000 ล้านบาท กับต่างประเทศ 4,000 ล้านบาท) ขณะที่ปีหน้าน่าจะเติบโตได้ 5-7%

ปี 2566 นี้ถือว่าการเติบโตของ “มาม่า” ไม่สูง เพราะช่วงปี 2564-65 มาม่าเติบโตสูงไปแล้วจากพฤติกรรมกักตุนสินค้าอาหารช่วงโควิด-19 ของผู้บริโภค ทำให้ฐานรายได้เดิมค่อนข้างสูง ส่วนปี 2567 พันธ์หวังว่ามาตรการเงินอัดฉีดจากรัฐบาลและการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน น่าจะทำให้มาม่าได้อานิสงส์เพราะถือเป็นสินค้ากลุ่มอาหารที่เป็นปัจจัยสี่ของผู้บริโภค