ถอดรหัส ‘ค่านิยม 5 ประการ’ คัมภีร์ของ ‘ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย’ ที่พาทั้งคนและองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน


หลังจากต้องเผชิญกับการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ก็ถึงเวลาแล้วที่ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) ได้ปรับวัฒนธรรมองค์กรให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเป็นการผสมผสานข้อดีของทั้งของ ซันโทรี่ และ เป๊ปซี่โค หรือเรียกได้ว่าเป็นการผสานแนวคิดของตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน โดย เพียงจิต ศรีประสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลและบรรษัทสัมพันธ์ จะมาบอกเล่าถึงแนวคิด ค่านิยม 5 ประการ และเคล็ดลับการบริหารจัดการคนให้มีอัตราการลาออกที่ต่ำกว่าตลาด ทั้งที่ Talent ของบริษัทเป็นที่หมายปองของหลาย ๆ องค์กร


ค่านิยม 5 ประการ หัวใจสำคัญขับเคลื่อนองค์กร

เพียงจิต เล่าว่า ค่านิยม 5 ประการ เป็นการผสมผสานแนวคิดของทั้ง 2 องค์กร คือ ซันโทรี่ และ เป๊ปซี่โค เพื่อปรับให้มีความทันสมัยและเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น ได้แก่

  1. Yatte Minahare : การมีจิตวิญญาณของผู้กล้าลงมือทำ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ลังเลที่จะทำเพื่อให้เกิดการตอบสนองที่เร็ว แก้ปัญหาคิดวิเคราะห์ในเชิงสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์แยกแยะในการแก้ไขปัญหา และจะไม่ต่อว่าหากล้มเหลว แต่ต้องเรียนรู้ เพื่อให้กล้าลงมือทำ
  2. Gemba Focused : เข้าถึงและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค (consumer) ลูกค้า (customer) และ เพื่อนร่วมงาน (colleague) อย่างแท้จริง รวมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ พัฒนา และส่งมอบสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่พวกเขา

  1. Better Together : เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม ไม่มี “ทีมเธอ ทีมฉัน” มีแต่ ทีมเรา สามารถทำงานร่วมกันได้ทุกแผนก เพื่อสนับสนุนให้เกิดมุมมองที่แตกต่างและมีความหลากหลาย รวมถึงสร้างให้เกิดวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และต้องทำงานโดยไม่คำนึงถึงลำดับขั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของทีมให้ดียิ่งขึ้น
  2. Future Oriented : นอกจากเรียนรู้จากความผิดพลาดแล้ว ต้องศึกษาเทรนด์ของผู้บริโภค เพื่อมองหาเทรนด์การเติบโตในอนาคต ทุกปีบริษัทจะมีการเซ็ทกลยุทธ์องค์กรทั้งระยะใกล้และไกล แต่โฟกัสที่การเติบโตจากภายในและยั่งยืน (Organic Growth) ไม่เร่งรีบ และจะมีการกลับมาย้อนดูกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อดูว่ายังเหมาะกับสถานการณ์หรือเทรนด์หรือไม่
  3. Commitment to Growth : แสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพ ดังนั้น พนักงานทุกคนต้องพัฒนาศักยภาพเพื่อจะเติบโตร่วมกับองค์กร แต่ก็ต้องสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว


ทำอย่างไรให้พนักงานเข้าใจค่านิยม

ที่ผ่านมา ผู้บริหารจะไม่อยู่แค่ในออฟฟิศ แต่มีการลงพื้นที่พบปะพูดคุยกับลูกค้า พนักงาน และคู่ค้า ทุกเดือน เพื่อที่จะได้รับรู้ปัญหาหน้างาน รับรู้ความต้องการพนักงานและลูกค้า เพื่อให้เกิดความรักความผูกพันและทำงานร่วมกับองค์กร มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มีตัวแทนจากทุกฟังก์ชั่นมารวมกันเพื่อร่วมกันระดมสมอง ถกปัญหา เพื่อจะหาไอเดียใหม่ ๆ และมีจัดกิจกรรมอย่างการ ให้พนักงานตำแหน่งเล็กสุด อวยพรพนักงานช่วงปีใหม่ จากปกติเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้า เพื่อสร้างบรรยากาศต่าง ๆ ให้ดี และมี เวทีให้เขาได้ตั้งคำถาม เพื่อรับฟังความเห็นพนักงานทุกระดับ

แม้ค่านิยมหรือวัฒนธรรมองค์กรจะดี แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้บริหารฝ่าย HR ความท้าทายของเธอคือ จะทำอย่างไรให้พนักงานทั้ง 1,000 คน ขององค์กรเข้าใจและนำค่านิยมทั้ง 5 ไปปฏิบัติหรือซึมซับมัน ดังนั้น จึงมีการจัดทำโปสเตอร์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การจัดเวิร์คช้อป การเทรนนิ่ง มีการทำ Pre-Survey Post-Survey โดยเลือกให้พนักงานจดบันทึกใส่ สมุด ถึงการนำแนวคิดทั้ง 5 มาปรับใช้ และฝ่าย HR จะอ่านทั้งหมด และอีกสิ่งที่ท้าทายคือ การเผยแพร่ค่านิยมนี้ให้กับคนภายนอกองค์กร เพื่อเชื่อว่าคนภายนอกก็สามารถนำไปปรับใช้ได้


เคล็ดลับบริหารให้เป็นที่ต้องการขององค์กรอื่น

เพียงจิต เชื่อมั่นว่า ด้วยค่านิยมนี้ทำให้ Talent ขององค์กรเป็นที่ต้องการขององค์กรอื่น ๆ เพราะได้ปลูกฝั่งถึง Growth และ Agile Mindset ที่ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมจะผลักดันให้ตัวเองและบริษัทเติบโต และพร้อมทรานซ์ฟอร์มตัวเองตลอดเวลา

ดังนั้น ความท้าทายด้านการบริหารจัดการคนในปัจจุบันคือ ทำยังไงให้พนักงานเห็นคุณค่าในสิ่งที่บริษัทได้ลงทุนและความมุ่งมั่นที่บริษัทสัญญาว่าจะดูแลเขาอย่างดี

“หากไม่นับช่วงโควิด ที่ผ่านมาการลาออกค่อนข้างสูง บางคนมองว่าไปที่ใหม่เงินเดือนขึ้น แต่กลายเป็นว่า องค์กรใหม่ไม่เห็นดูแลเราดีเหมือนบริษัทเก่า”

ที่ผ่านมา องค์กรมีการดูแลพนักงานอย่างดี อาทิ ช่วงโควิดก็มีการแจกจ่ายวัคซีนอย่างทั่วถึง ไม่เฉพาะพนักงานประจำ แต่รวมถึง Outsource และพนักงานขนส่งของด้วย อีกทั้งองค์กรยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว อย่างที่ผ่านมาก็มี Flex schedule เวลาการเข้าทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 10.00-16.00 น. มี Flex Friday โดยวันศุกร์จะให้ทำงานแค่ครึ่ง เพื่อให้เอาเวลาไปทำกิจกรรมต่าง ๆ และตอนนี้กำลังศึกษาเรื่อง Hybrid Working Place อยู่

“เราเชื่อว่าถ้ามีคนเข้าออกตลอดเวลา ธุรกิจก็ไม่สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การดูแลพนักงานจึงสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ โดยปัจจุบัน อัตราการลาออกของเรามีเพียง 4-5% เท่านั้น จากค่าเฉลี่ยของตลาด FMCG ที่ 10% นอกจากนี้ 97% ของข้อเสนอที่เรายื่นไปให้มาทำงานด้วยก็ได้รับการตอบรับ หรือคนที่เคยลาออกไปแล้วอยากกลับมาทำงานด้วย

สุดท้าย เพียงจิต ย้ำว่า ค่านิยม 5 ข้อของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกคนไม่เฉพาะแค่ในองค์กรเท่านั้น และเชื่อมั่นว่าสามารถตอบสนองความต้องการในอนาคตได้อีกด้วย