จุดเริ่มต้นของการลงทุนครั้งนี้ คือการตามหาเรือนหอที่ใช่ของคนสองคน แต่เมื่อพบว่าในตลาดไม่มีบ้านแบบที่ต้องการ ทางออกของปัญหานี้จึงเป็นการลงทุนซื้อที่ดินสร้างบ้านในฝัน พร้อมเปิดขายให้เพื่อนบ้านมาอยู่ด้วยกันเสียเลย! “ฟ้าฉาย ดำรงชัยธรรม” ทายาท “แกรมมี่” และ “นภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้บริหาร “สยามพิวรรธน์” ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ SANSA บ้านหรูกลางย่านอารีย์ที่พัฒนาจากอินไซต์จริงของไลฟ์สไตล์ “ลักชัวรี” เพื่อการอยู่อาศัยที่ส่งต่อได้ถึงรุ่นลูกหลาน
“เราพยายามหาบ้านที่จะมาเป็นเรือนหอ แต่ก็ไม่เจอที่เหมาะกับเราเลย” ฟ้าฉาย ดำรงชัยธรรม ลูกสาวคนสุดท้องวัย 28 ปีของ “อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” เริ่มเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการ SANSA (สรรษา) บ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทในย่านอารีย์-พระราม 6
ความลงตัวที่เธอและแฟนหนุ่ม “นภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ผู้บริหารวัย 34 ปีจาก “สยามพิวรรธน์” ตามหา คือ บ้านเดี่ยวทำเลในเมืองแต่ยังอยู่ในจุดที่เงียบสงบ เป็นส่วนตัวแต่ไม่ปิดทึบจนเกินไป และยังต้องมีฟังก์ชันบ้านที่เข้าใจชีวิตในระดับราคานี้จริงๆ
“พอตัดสินใจว่าจะหาที่ดินเพื่อปลูกบ้านเอง แต่แปลงที่ได้มามีขนาดถึง 280 ตารางวา ใหญ่เกินไปสำหรับครอบครัวเดียว เราเลยตัดสินใจว่าจะพัฒนาโครงการ เพราะส่วนตัวก็สนใจทำอสังหาฯ อยู่แล้ว” นภนิศกล่าว
หลังจากตระเวนชมโครงการไปหลายแห่งระหว่างหาบ้าน ก็เหมือนได้วิจัยตลาดไปโดยบังเอิญ ประกอบกับนภนิศนั้นจบทั้งปริญญาตรีและโทด้านสถาปัตยกรรมจาก University of Melbourne ที่ผ่านมายังเป็นผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ รับผิดชอบโครงการ “ไอคอนสยาม” “สยามดิสคัฟเวอรี” และ “พาร์ค สีลม” ทำให้มีความพร้อมในการพัฒนาโครงการ
ขณะที่ฟ้าฉายที่ปัจจุบันเป็น Director of Media Channels บริษัท จีเอ็มเอ็ม โอ ช้อปปิ้ง จำกัด จะใช้ความถนัดด้านการตลาดมาดูแลการขายและแบรนดิ้งให้ SANSA Exclusive Residences
Timeless Design บ้านที่พร้อมปรับเปลี่ยนกับทุกช่วงชีวิต
ข้อมูลเบื้องต้นของโครงการ SANSA Exclusive Residences ทำเลตั้งอยู่ในซอยพระราม 6 ซอย 41 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 4 ยูนิต บ้าน 3 ชั้นครึ่ง พร้อมลิฟต์ในตัว ขนาดที่ดิน 56-60 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 580 ตร.ม. ฟังก์ชันมาตรฐานมี 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 7.5 x 3 เมตร พร้อมเข้าอยู่ไตรมาส 1/2567
คอนเซ็ปต์ของบ้านต้องการจะเป็น ‘Timeless Design’ คือทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นแบบสไตล์มินิมอล-อบอุ่นซึ่งจะไม่ดูล้าสมัยในอนาคต และยัง ‘คิดเผื่อ’ หากต้องการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันบ้าน
“เราวางแบบบ้านให้ปรับเปลี่ยนได้ตามอนาคตของชีวิตครอบครัว เพราะต้องการให้ที่นี่เป็นบ้านที่อยู่ได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องย้ายไปที่ไหนอีก” นภนิศกล่าว “ผู้ซื้อวันนี้อาจจะเริ่มจากอยู่กันสองคน แต่ต่อไปอาจจะมีลูก มีพ่อแม่ย้ายมาอยู่ด้วย จนถึงวันที่ลูกๆ โตและย้ายออกไป บ้านจะปรับตามความเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตได้”
นภนิศอธิบายต่อว่า บ้านหลังนี้พร้อมจะปรับได้เสมอเพราะการเตรียม ‘ท่อเดรนห้องน้ำ’ ไว้แล้ว ท่อระบายน้ำเป็นจุดที่ยากที่สุดหากต้องการจะปรับปรุงบ้าน เมื่อมีท่อรอไว้เผื่อการเพิ่มห้องนอน-ห้องน้ำในอนาคต ส่วนอื่นๆ เช่น การก่อกำแพง เพิ่มปลั๊กไฟ ไม่ใช่เรื่องยาก
“ความเป็นส่วนตัว” ที่พอดี
เรื่องสำคัญมากอย่างหนึ่งของการมีบ้านกลางเมืองคือหาที่ที่เป็นส่วนตัว หลบสายตาผู้คน แต่ไม่ปิดทึบจนรู้สึกอึดอัด จุดนี้นภนิศอธิบายก่อนว่า โครงการส่วนใหญ่มักเลือกซอยที่พลุกพล่าน แต่ SANSA เลือกซอยตันที่ปลอดคน ไม่ใช่ทางผ่านของคนทั่วไป ซึ่งให้ความเป็นส่วนตัวกว่า
และโครงการยังวางผังให้บ้านทั้ง 4 หลังหันหน้าออกทางเดียวกัน ทำให้ไม่มีเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม ตัวบ้านจึงออกแบบให้มีลักษณะโปร่งโล่งได้มากกว่า ทำให้รับแสงและวิวได้ในจุดที่เหมาะสม จากปกติถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวจะต้องแลกมาด้วยกำแพงที่ปิดทึบยิ่งขึ้น
รวมถึงการวางแบบบ้าน ชั้น 1 จะเป็นพื้นที่สำหรับเซอร์วิสทั้งหมด คือเป็นที่จอดรถ ห้องแม่บ้าน ครัวไทย ตู้รองเท้า ห้องซ่อมบำรุงระบบ ส่วนพื้นที่ของการอยู่อาศัยของครอบครัวจะยกขึ้นไปด้านบนทั้งหมด เพื่อความเป็นส่วนตัว แยกโซนกันชัดเจน
จุดนี้ฟ้าฉายเสริมด้วยว่า บางโครงการอาจไม่ได้คำนึงถึงการอยู่อาศัยจริงของผู้ซื้อบ้านหลักหลายสิบล้านบาทที่มักจะมี ‘แม่บ้าน’ อาศัยประจำ ทำให้ขาดฟังก์ชันห้องแม่บ้าน หรือมีให้แต่วางแบบไว้โดยที่แม่บ้านไม่สามารถอยู่อาศัยได้จริง ซึ่งโครงการ SANSA มีการแก้จุดอ่อนเหล่านี้เพื่อให้บ้านเป็นที่สำหรับทุกคน
ธุรกิจส่วนตัวจาก “แพสชั่น”
การพัฒนาโครงการ SANSA เป็นโครงการแรกแต่น่าจะไม่ใช่โครงการสุดท้าย เพราะทั้งคู่ต่างชื่นชอบธุรกิจอสังหาฯ และปัจจุบันก็เริ่มเล็งทำเลต่อไปในย่านอารีย์แล้ว
“ที่นี่เป็นโครงการแรกที่ได้ทำ แต่จริงๆ เราชอบเรื่องพวกนี้มาตลอด อย่างไปเที่ยวต่างประเทศจะเลือกพักบูทีคโฮเทลมากกว่าเชนใหญ่ๆ หรือเลือกพักคฤหาสน์ที่นำมาปล่อยเช่า เพื่อที่จะซึมซับการออกแบบสถาปัตยกรรมของเขา” ฟ้าฉายกล่าว
“รวมถึงคุณพ่อเองก็ชอบสถาปัตยกรรมมาก ทำให้บ้านทุกหลังของครอบครัวจะมีดีไซน์ที่ดี อย่างบ้านที่กรุงเทพฯ เป็นฝีมือการออกแบบของ อ.องอาจ สาตรพันธุ์ หรือบ้านตากอากาศของครอบครัวเป็นผลงานของคุณชินอิจิ โอกาวะ”
ส่วนนภนิศเองมีแพสชันทางนี้อยู่แล้วเห็นได้จากการเรียนและการทำงาน แม้จะเป็นโครงการประเภทที่พักอาศัยแห่งแรกที่ได้พัฒนา แต่ประสบการณ์แน่นจากการพัฒนาโครงการรีเทลก็ช่วยให้ต่อยอดได้ไม่ยาก
“โดยเฉพาะไอคอนสยามนี่ทำให้เราได้รู้จักชนิดวัสดุเยอะมาก ผมว่าไอคอนสยามทำให้ผมได้คุยกับซัพพลายเออร์วัสดุน่าจะทั่วประเทศแล้ว และการดูแลโครงการต่อก็ทำให้เรารู้ว่าวัสดุประเภทไหนที่ทนทาน ซ่อมบำรุงง่าย ความรู้นี้ก็มาใช้กับโครงการ SANSA ด้วย”
ขณะนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้ฝันไกลถึงการทำกำไรและเติบโตให้เร็ว หรือการเป็นสะพานเชื่อมธุรกิจของทั้งสองบริษัทใหญ่ แต่ต้องการให้อสังหาฯ เป็นโปรเจ็กต์ส่วนตัวมากกว่า
“ตอนนี้เราไม่ได้เน้นการทำเงินมากมาย เน้นทำตามแพสชั่นมากกว่าค่ะ” ฟ้าฉายกล่าวปิดท้าย