KBank Private Banking แนะการลงทุนปี 2023 สินทรัพย์หลายตัวเริ่มน่าสนใจ จับจังหวะเข้าลงทุนได้

ภาพจาก Shutterstock

KBank Private Banking มองการลงทุนในปี 2023 ว่าสินทรัพย์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นกู้ ทองคำ เริ่มน่าสนใจมากขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องจับตามองครั้งสำคัญคือดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อไหร่ แต่ยังเน้นในหลักการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในปี 2022 นี้ว่าหลายสินทรัพย์นั้นมีผลตอบแทนติดลบ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีหุ้นโลก (MSCI World Index) ปีนี้ช่วงผลตอบแทนที่แย่ที่สุดของดัชนีดังกล่าวนั้นอยู่ที่ -26.1% ก่อนที่ล่าสุดมีผลตอบแทนอยู่ที่ -17.9% เนื่องจากสภาวะตลาดดีขึ้น

ขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ จิรวัฒน์มองว่าพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ทั่วโลกทำผลตอบแทนแย่มาก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของพันธบัตรและหุ้นกู้ไม่เคยแย่ขนาดนี้มาก่อน และยังเป็นอีกปีที่ผลตอบแทนทั้งตราสารหนี้กับหุ้นนั้นทำผลตอบแทนที่แย่ที่สุดในรอบหลายปีด้วย

ไม่เพียงเท่านี้สินทรัพย์อื่นๆ ก็ให้ผลตอบแทนที่แย่ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ น้ำมัน ขณะที่พระเอกในปีนี้คือ Dollar Index ถือว่าให้ผลตอบแทนดีในบรรดาสินทรัพย์ทางเลือก

พอร์ตการลงทุนของลูกค้า

Executive Chairman ของ KBank Private Banking ได้เปิดเผยถึงการจัดพอร์ตการลงทุนให้กับลูกค้าว่าจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่

  • Liquidity – พอร์ตการลงทุนที่เน้นสภาพคล่องสูงโดยมีสัดส่วนเงินสดหรือตราสารหนี้ระยะสั้นอยู่ที่ 15-20% ซึ่งปีนี้ได้เพิ่มสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากสภาวะตลาดที่ไม่เป็นใจ
  • Long Term Investment – พอร์ตการลงทุนระยะยาว มีสัดส่วน 60-70% เขากล่าวว่ากองทุนหลายๆ กองนั้นติดลบน้อยกว่าตลาด แต่ถ้าเป็นกองทุนที่ลงทุนในธีมต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ติดลบ แต่ KBank Private Banking แนะนำลดการลงทุนพอร์ตการลงทุนในปีนี้
  • Aspiration พอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก มีสัดส่วน 15-20% ซึ่งกองทุนที่ลงทุนใน Private Equity ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา สวนทางกับตลาดการเงิน

ทำให้ในปี 2022 ผลตอบแทนของลูกค้า KBank Private Banking มีผลตอบแทนตั้งแต่ -3.8% ถึง -5.5% แล้วแต่ความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ซึ่งจิรวัฒน์ได้ชี้ว่าดีกว่าตลาดโดยรวม

ลงทุนปี 2023 ยังไง

จิรวัฒน์ได้ชี้ว่า ในปี 2023 นี้สถานการณ์การลงทุนน่าจะดีขึ้นกว่าปี 2022 โดยเขาชี้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2023 นี้คือจุดที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกาขึ้นจุดสูงสุด ถ้าหากตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก ธนาคารกลางสหรัฐยังขึ้นดอกเบี้ยเท่าเดิม อย่างไรก็ดีเขาได้ชี้ว่าจุดเปลี่ยนนี้จะขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

ถ้าหากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา 10 ปี “ยังไม่ขึ้นจุดสูงสุด”

  1. ลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น
  2. เน้นการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง เช่น หุ้นบริษัทที่ความสามารถในการแข่งขัน และกำหนดราคา ทำให้สามารถเป็นผู้ชนะในภาวะเงินเฟ้อสูงได้
  3. กระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุน Hedge Fund
  4. กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์นอกตลาดที่มีความผันผวนด้านราคาในระยะสั้นต่ำ

ถ้าหากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา 10 ปี “ขึ้นจุดสูงสุด” ไปแล้ว

  1. ลงทุนบางส่วนในทองคำ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นอ่อนค่าลง
  2. หุ้นกู้เอกชนผลตอบแทนสูง (High Yield) จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
  3. ทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น หากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพื่อต้านทานภาวะเศรษฐกิจถดถอยชัดเจนขึ้น

หัวเรือใหญ่ของ KBank Private Banking ยังมองว่าในปี 2023 ตราสารหนี้และหุ้นกู้น่าจะมีผลตอบแทนเป็นบวกได้ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ

มองธุรกิจ KBank Private Banking ในปี 2023

เสาหลักธุรกิจในปี 2023 ของ KBank Private Banking ที่จะเน้นนั้นประกอบไปด้วย การลงทุนบนหลักการ Risked-based Asset Allocation การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก การลงทุนเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว ที่ให้บริการไปแล้วถึง 790 ครอบครัว

ในปี 2022 นั้น KBank Private Banking มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 1% มีสินทรัพย์ AUM ลดลง 1% เมื่อเทียบกับปี 2021 จากสภาวะตลาด ซึ่งจิรวัฒน์มองว่าในปี 2023 ปริมาณการเติบโตของลูกค้าน่าจะกลับไปเติบโต 3-5% เท่ากับช่วงเวลาปกติก่อนการแพร่ระบาดของโควิดได้