CEO ของ Toyota ประกาศลงจากตำแหน่งแล้ว สื่อนอกชี้บริษัทเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่หลังจากนี้

Akio Toyoda
(Photo by Chris McGrath/Getty Images)

Akio Toyoda ซึ่งเป็นประธานบริษัท รวมถึง CEO ของบริษัทรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Toyota ได้ประกาศลงจากตำแหน่งแล้ว หลังจากอยู่ในตำแหน่งมานาน 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ซึ่งการลงจากตำแหน่งในวันนี้ได้ความประหลาดใจให้กับนักลงทุน รวมถึงนักวิเคราะห์ไม่น้อย

สำนักข่าว Reuters ได้ชี้ว่าการลงจากตำแหน่งของ Akio Toyoda ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์หลังจากนี้

ปัจจุบัน Toyota กำลังถูกท้าทายจากผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่การพัฒนารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบไฮโดรเจน ต่างก็ถูกท้าทายโดยผู้ผลิตรถยนต์หลายแบรนด์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตจากประเทศจีน ไปจนถึงคู่แข่งสำคัญอย่างบริษัทผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป

โดย Akio Toyoda เป็นหลานชายของ Kiichiro Toyoda ผู้ก่อตั้งบริษัท Toyota Motor ได้เข้ารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Toyota นับตั้งแต่ปี 2009 และได้พาบริษัทฝ่ามรสุมต่างๆ มากมาย ซึ่งเขากล่าวว่า “เมื่อมองย้อนกลับไป 13 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดวันต่อวัน และนั่นคือความรู้สึกจริง ๆ ของผม”

สำหรับผู้ที่จะมารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ Toyota นั่นก็คือ Koji Sato ในวัย 53 ปี ซึ่งเขาได้เป็นประธานของ Lexus ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์หรูของบริษัท และได้ทำงานในบริษัทตั้งแต่ปี 1992 และได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารภายในบริษัทหลากหลายตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

Koji Endo นักวิเคราะห์อาวุโสของ SBI Securities ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น ได้ให้มุมมองกับ Reuters ว่า เขาไม่คิดว่า Akio Toyoda จะลงจากตำแหน่ง และมองว่าเขาจะดำรงตำแหน่งไปสักพักด้วยซ้ำ และมองว่า Koji นั้นมีอายุที่น้อย เมื่อเทียบกับผู้บริหารคนอื่นๆ ของ Toyota ซึ่งเขาสามารถดำรงตำแหน่งหลังจากนี้ได้อย่างยาวนาน และช่วงเวลาหลังจากนี้เป็นเหมือนการฝึกงาน (ในการเป็น CEO) ของเขา

ประธานและ CEO ของ Toyota ยังได้กล่าวชื่นชมว่าที่หัวเรือคนใหม่ว่า “Koji เป็นคนที่ทำงานหนัก และยังได้เรียนรู้ปรัชญาของบริษัทอีกด้วย” และเขายังกล่าวเสริมว่า “Toyota ต้องการคนหนุ่ม มีพลัง รวมถึงความแข็งแกร่ง” ซึ่งเขาอยากให้ทุกคนสนับสนุนการทำงานของ Koji ด้วย

ที่มา – CNBC, Reuters [1], [2]