ในช่วง 5-6 ปีมานี้ หลายคนน่าจะเห็น ร้านสะดวกซัก อยู่ตามชุมชนเต็มไปหมด ซึ่งหลายคนน่าจะสงสัยว่าตลาดมันเป็นอย่างไร เติบโตมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี (Alliance Laundry System LLC) บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ อายุ 115 ปี ที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องซักอบผ้าในกลุ่มอุตสาหกรรมโดยมีแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักหลายรายเป็นลูกค้า ก็ได้มาเล่าถึงโอกาสของตลาดสะดวกซักของไทย
โควิดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค
สำหรับการเติบโตของร้านสะดวกซัก สุกรี กีไร ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ บริษัท อัลไลแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ แอลแอลซี เล่าว่า เริ่มเห็นเทรนด์ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด เนื่องจากผู้บริโภคต้องการ ความสะอาด เนื่องจากเครื่องซักผ้าตามร้านสะดวกซักมีฟังก์ชันฆ่าเชื้อ ทำให้ธุรกิจร้านสะดวกซักเติบโต และแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าตลาดยังเติบโตได้เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชิน รวมถึงการมาของนักท่องเที่ยว
“พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเพราะโควิด จะเห็นว่าเริ่มเติบโตมาก เพราะเขาต้องการความสะอาด ต้องการความฆ่าเชื้อ สะดวก รวดเร็ว และหลังจากการระบาดของโควิดผู้บริโภคก็ยังคุ้นชินกับพฤติกรรมเดิม นอกจากนี้การที่นักท่องเที่ยวกลับมา เราเห็นว่าเมืองท่องเที่ยวเริ่มมีการลงทุนในร้านสะดวกซักเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าตลาดจะยังเติบโตได้”
10,000 สาขา จุดอิ่มตัวของตลาดไทย
นับตั้งแต่ปี 2017 จำนวนของร้านงร้านสะดวกซักก็เติบโตขึ้นมาโดยตลอด จากที่มีไม่ถึงหลักร้อยสู่จำนวน 3,414 สาขาทั่วประเทศ ในปี 2022 นับเฉพาะสาขาที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาก็มีมากถึง 1,058 สาขา และสำหรับบริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 63.44% หรือคิดเป็นประมาณ 2,166 สาขา ที่ใช้เครื่องซักผ้าของบริษัท โดยในปี 2022 ที่ผ่านมา ร้านสะดวกซักมีมูลค่าตลาดราว 1,480 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้มีการประเมินว่าแต่ละประเทศจะมีร้านสะดวกซักได้กี่สาขา โดยคำนวณจาก
- จำนวนประชากร
- รายได้
- ภูมิศาสตร์
โดยสำหรับประเทศไทย บริษัทมองว่าปริมาณการรองรับ 1 ช้อปต่อ 6,000 คน ดังนั้น โอกาสเติบโตอยู่ได้ที่ 10,000 ช้อป เมื่อเทียบกับจำนวนในปัจจุบันที่มีประมาณ 3,000 แปลว่าโอกาสเติบโตยังมีอีกมาก โดยในปี 2023 นี้ คาดว่าตลาดจะเติบโตได้ 18% มีมูลค่าราว 1,750 ล้านบาท
วางเป้าโต 20% ดัน 1 อำเภอ 1 ร้านสะดวกซัก
ในปีที่ผ่านมา อัลไลแอนซ์มียอดขาย 1,100 ล้านบาท โดยในปี 2023 นี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตให้ได้ 20% มียอดขายรวม 1,320 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75% ของมูลค่าตลาด นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าทำรายได้รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 5 ปี
สำหรับปีนี้บริษัทมี 4 กลยุทธ์ ในการรุกตลาดไทยและภูมิภาค ได้แก่
- ดันให้ทุกอำเภอมีร้านสะดวกซัก ภายใต้แคมเปญ 1 อำเภอ 1 ร้านสะดวกซัก โดยเน้นเจาะกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น, นครราชสีมา, อุดรธานี, ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี, ลพบุรี และภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี คาดจะมีครบทุกอำเภอในอีก 5 ปีข้างหน้า
- การเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยปีนี้จะออกสินค้า 2 รุ่นใหม่ ภายใต้แบรนด์ IPSO® และ Primus® ได้แก่รุ่น Stacked Washer-Extractor/Tumble Dryers และรุ่น New Aesthetic Design
- การขยายตลาดต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่ปัจจุบันยังมีร้านสะดวกซักไม่มากนัก ซึ่งทางบริษัทมองว่าเป็นโอกาสขยายตลาดที่น่าสนใจ
- การอัปเกรดเครื่องซักอบผ้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 10 ปี เช่น ตลาดมาเลเซียที่ถึงเวลาต้องอัปเกรดเครื่องซักผ้าแล้ว
“เราวางตัวเองเป็นสินค้าพรีเมียม ราคาสินค้าเราสูงกว่าคู่แข่ง 20-30% แต่ที่ลูกค้าร้านสะดวกซักยอมจ่ายเพราะสินค้าเราใช้งานได้เป็น 10 ปี ในขณะที่คู่แข่งอาจต้องเปลี่ยนใน 5 ปี นอกจากนี้ เรื่องบริการเราก็เน้นมาก เพราะถ้าเครื่องใช้ไม่ได้แปลว่ารายได้เขาหายทันที ซึ่งเรามองว่าระยะเวลาคืนทุนของธุรกิจในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ขึ้นอยู่กับทำเล”
ยังลงทุนไทยต่อเนื่อง เพราะเป็นศูนย์กลางภูมิภาค
สำหรับไทยถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสัดส่วนรายได้ถึง 25% ซึ่งในปี 2017 บริษัทได้ลงทุน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องซักผ้า ปัจจุบันมีกำลังผลิตได้ 25,000 เครื่อง/ปี และถ้าตลาดเติบโตได้เร็ว บริษัทก็พร้อมจะลงทุนเฟส 2 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต
ปัจจุบัน บริษัทผลิตเครื่องซักผ้าทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่ IPSO, Primus, UniMac, Huebsch และ SpeedQueen เพื่อรองรับ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันก็มีการเติบโตล้อไปกับภาคการท่องเที่ยว
- กลุ่มร้านสะดวกซัก หรือหยอดเหรียญ
- กลุ่มใช้ในครัวเรือน
“ไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากและไม่ใช่เทรนด์ที่มาแล้วไป อย่างในไต้หวันเป็นเกาะเล็ก ๆ ตลาดยังอยู่มาได้ 30 ปี และมันเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนการทานอาหาร”