KKP Research มองถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นี้ โดยคาดว่า GDP ไทยจะเติบโตที่ 3.6% ได้ปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีในระยะยาวเศรษฐกิจไทยยังพบกับความท้าทายหลายอย่าง เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตนั้นเติบโตได้น้อยลงเรื่อยๆ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกว่าปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก หน่วยงานหลายแห่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะโตช้ากว่าค่าเฉลี่ย แถมโตต่ำกว่าปีที่แล้วด้วย IMF คาดการณ์ล่าสุดว่าเศรษฐกิจโลกเติบโตได้ 2.9% และอาจมีความเสี่ยงที่อาจเห็นเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศ แถมยังมีภาวะชะลอตัวจากการฟื้นตัวจากโควิด
มองเศรษฐกิจโลกโตช้าลง มีปัญหาท้าทายที่รออยู่
นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกเองในหลายประเทศยังมีสภาวะเงินเฟ้อสูง ขณะเดียวกันต้นทุนทางการเงินก็เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางที่ต้องการเหยียบเงินเฟ้อไว้โดยการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลทำให้เศรษฐกิจ ต้นทุนการต่างๆ เช่น การซื้อบ้านต้องจ่ายเงินสูงขึ้น ตัวเลขทางเศรษฐกิจแผ่วลง ไม่เพียงเท่านี้เศรษฐกิจโลกยังพบกับปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังอย่างการบุกยูเครนโดยรัสเซีย ปัญหาพลังงาน
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก และอาจส่งผลต่อภาคส่วนเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้พิพัฒน์ ยังได้กล่าวถึงอีกปัจจัยเสี่ยงคือเงินเฟ้อที่อาจค้างนาน แม้ว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจนลดลงแล้ว แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางหลายประเทศ และถ้าหากราคาพลังงานสูงขึ้นก็อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
เศรษฐกิจไทยได้ปัจจัยจากภาคการท่องเที่ยวอย่างเดียว
เขายังชี้ว่า Cycle ของเศรษฐกิจไทย เหมือนเป็นคนละ Cycle กับเศรษฐกิจโลก ซึ่งตอนนี้ไทยมีเครื่องยนต์ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ชะลอตัวนั่นก็คือภาคการท่องเที่ยว ตอนนี้เศรษฐกิจไทยพ้นจากโควิดแล้ว ได้ปัจจัยจากท่องเที่ยว ปีที่แล้วกลับมาได้ 11 ล้านคน KKPFG คาดว่าปีนี้ 25 ล้านคน จากการเปิดประเทศที่ไวกว่าคาด ทำให้ KKP Research ได้ปรับคาดการณ์การเติ
แต่ปัญหาใหญ่ที่พิพัฒน์มองคือเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ นั้นชะลอตัวลง เช่น ภาคการส่งออก เพราะตอนนี้ภาคการส่งออกหลายประเทศกระทบหมด และนั่นอาจทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียม เนื่องจากท่องเที่ยวฟื้น แต่ภาคการส่งออก ภาคการเกษตร กลับชะลอตัวลงในครึ่งปีแรก แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ภาคการผลิตอาจกลับมาฟื้นตัวได้ เนื่องจากได้ผลประโยชน์จากจีนเปิดประเทศมากขึ้น
ยังมีปัจจัยน่ากังวลอีกมาก
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด ยังได้กล่าวถึงเรื่องของเงินเฟ้อของไทยอาจชะลอตัวลงมาในปี 2566 นี้ และจะปรับเข้าสู่เป้าของแบงก์ชาติได้ในช่วงกลางปี (กรอบของแบงก์ชาติที่ 3%) และเขายังมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในปีนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจเกิน 2% ได้
พิพัฒน์ ยังกล่าวถึงความเสี่ยงของการเปิดประเทศของจีนนั้นอาจส่งผลทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ด้านเศรษฐกิจไทยนั้นแม้ว่าจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ แต่ก็ยังคงมีความอ่อนไหว งบดุลของครัวเรือนต่างๆ ยังน่ากังวล ขณะที่ค่าเงินบาทนั้นแข็งค่าเยอะมาก เพราะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีน แต่เขาก็ยังเตือนถึงความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจเพิ่มขึ้นได้
เขายังทิ้งท้ายว่าแนวโน้มเศรษษฐกิจไทยในระยะยาวว่า ไทยเจอปัญหาที่เศรษฐกิจโตน้อยลงไปเรื่อยๆ หลังวิกฤตต่างๆโดยเฉพาะวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้ Output ของเศรษฐกิจไทยหายไป 3 ปี ความท้าทายหลังจากนี้ของไทยคือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่จะต้องแก้ไข และการเลือกตั้งอาจเป็นปัจจัยในการถกเถียงหรือตั้งคำถามเรื่องอนาคตเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้ เพราะถ้าหากปล่อยไปก็อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว