“บางจาก” ฟาดกำไรปี 65 พุ่ง 65% แตะ 1.26 หมื่นล้าน ทุบสถิติสูงสุดในประวัติการณ์

bangchak
บางจากฯ โชว์กำไรปี 65 พุ่ง 1.26 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 65% จากปีก่อน สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มาจากธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ ชี้ปีนี้ยังมีความท้าทายจากความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า มั่นใจซื้อ “เอสโซ่” ช่วยยกระดับการดำเนินธุรกิจจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทได้สร้างสถิติใหม่ในปี 2565 ด้วยผลการดำเนินงานสูงสุดในรอบเกือบ 4 ทศวรรษนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยมีรายได้จากการขาย และการให้บริการ 312,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากปี 2564 คิดเป็นกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมและการตัดจำหน่าย (EBITDA) 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 จากปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรสำหรับงวดปี 2565 อยู่ที่ 12,575 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 65

โดยมาจากธุรกิจโรงกลั่นฯ และการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ แสดงถึงความสำเร็จจากการขยายและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้หลากหลายและสมดุล โครงสร้างองค์กรที่คล่องตัวและการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น

มีผลการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจมีดังนี้ คือ

กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA รวม 17,864 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 91 เทียบกับปีก่อน โดยโรงกลั่นมีอัตรากำลังการผลิตสูงสุดในระดับ 123,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปี 2564 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ฟื้นตัว ขณะที่อุปทานน้ำมันตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น 9.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก 4.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2564 มาเป็น 14.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในปี 2565 อย่างไรก็ดี มีการรับรู้ขาดทุนจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและ Inventory Gain ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ส่วนธุรกิจการค้าน้ำมันพบว่ามีการเติบโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อน และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของธุรกรรมกับคู่ค้าที่อยู่ภายนอกกลุ่มบริษัทบางจากมากขึ้น

กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA รวม 2,909 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายรวมเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการบริโภคและการผลักดันด้านการตลาด อีกทั้งการเปิดประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 148 จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ มีส่วนแบ่งการตลาดผ่านสถานีบริการในปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 16.4 เทียบกับร้อยละ 16.2 ในปีก่อน และมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,343 สถานี และธุรกิจ Non-Oil ร้านกาแฟอินทนิลมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,002 สาขา

bangchak

กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 6,400 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากปี 2564 จากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. 2,031 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยผลการดำเนินงานปกติปรับเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 373 เมื่อเทียบกับปีก่อน

กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 617 ล้านบาทในปี 2565 ปรับลดร้อยละ 67 จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายการพิเศษในไตรมาส 3 ปี 2564 ส่วนการดำเนินงานโดยปกติปรับลดลงเนื่องจากธุรกิจเอทานอลมีปริมาณขายลดลงและธุรกิจไบโอดีเซลปริมาณขายลดลงจากการที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศปรับส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B10 เป็น B5 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี

กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 17,625 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 114 จากปี 2564 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2564 ทำให้ปี 2565 กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติรับรู้ EBITDA จาก OKEA เต็มปี ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานเฉพาะของ OKEA ปี 2565 EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 82 จากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว และราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลก ส่วนปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปี 2564

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปี 2566 เป็นอีกปีที่มีความท้าทายจากการที่ประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเป็นฐานที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบางจากในการเดินหน้าต่อไป

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ยกระดับการดำเนินธุรกิจและความเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต รวมถึงต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน หรือธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต โดยรักษาสมดุลที่ดีระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 7 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2566