LHFG ชูกลยุทธ์เน้นรายได้จากกลุ่มลูกค้ารายย่อย มองสินเชื่อรวมโตได้ 8-10% ในปีนี้

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประกาศกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2023 นี้ โดยโฟกัสรายได้หลักมายังกลุ่มลูกค้ารายย่อย รวมถึง SME เพื่อที่จะกระจายรายได้ นอกจากนี้การย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนมายังอาเซียนยังส่งผลดีต่อกลุ่มฯ เนื่องจากปริมาณธุรกรรมเพิ่มมากขึ้น

ฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องราว 3.7% โดยได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวการจ้างงานและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาไทยอาจสูงถึง 25.5 ล้านคน อย่างไรก็ดี หลังจากที่ตัวเลข GDP ได้ประกาศออกมาเติบโตเหลือแค่ 2.6% อาจทำให้ทางกลุ่มฯ ปรับตัวเลข GDP ใหม่ได้

ทางด้านอัตราเงินเฟ้อของไทยคาดว่าจะทยอยปรับลดลงตามราคาพลังงาน อย่างไรก็ดี LHFG ยังต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น การฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจบางกลุ่มที่เปราะบาง การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

นอกจากนี้ทาง LHFG ยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยอ้างอิงจากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่าเศรษฐกิจโต 2.9% มองว่าหลายพื้นที่ทั่วโลกเศรษฐกิจจะมีโอกาสชะลอตัวลง แต่ก็มีโอกาสว่าจีนอาจฟื้นตัว ซึ่งเศรษฐกิจไทยนั้นพึ่งพาสภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

ในปี 2022 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของ LHFG มีกำไรสุทธิ 1,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% เมื่อเทียบกับปี 2021 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย

กลยุทธ์ของธนาคารปี 2023 นี้ LHFG จะเน้นการเติบโตพอร์ตสินเชื่อที่สร้างผลตอบแทนที่ดี หรือ กลุ่ม Higher Yield ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรายย่อย หรือแม้แต่ SME รวมถึงการจับมือกับพันธมิตร เช่น บริษัท E-commerce ในการปล่อยสินเชื่อ ทางกลุ่มฯ คาดว่าสินเชื่อรวมจะเติบโตในช่วง 8-10% ในการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (Cross Selling) ผลิตภัณฑ์ของธนาคาร รวมถึงการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม

นอกจากนี้การย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศจีน ยังสร้างผลดีให้กับกลุ่มฯ โดยเฉพาะลูกค้าจากไต้หวันที่เป็นกลุ่มภาคการผลิต ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ ฯลฯ เนื่องจากปริมาณธุรกรรม และสินเชื่อที่เติบโตมากขึ้น หลังจากที่ทางกลุ่มฯ มองว่าลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับธุรกิจในกลุ่มอย่าง บริษัทหลักทรัพย์นั้นจะเพิ่มช่องทางบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงผนวกบริการผ่าน Mobile Banking ของ LH Bank ส่วนธุรกิจบริหารกองทุนรวม กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะเน้นไปที่กองทุนส่วนบุคคลทั้งในส่วนสถาบันและลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง

ทางกลุ่มฯ ยังได้กล่าวถึงการพัฒนารวมถึงใช้ช่องทาง Digital มากขึ้น โดยในระยะยาวธนาคารคาดว่าช่องทางดิจิทัลจะเป็นช่องทางหลักมากถึง 90%

โดยแผนระยะยาวในปี 2027 ทางกลุ่มฯ คาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าบริษัทรายใหญ่ 35% ลูกค้า SME 30% ลูกค้ารายย่อย 30% ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น 4 เท่าจากปัจจุบัน