หลังจากถูกคู่แข่ง “ซาบีน่า” ท้าทายตลาดด้วย “ดูม ดูม ซีรี่ส์” ชุดชั้นในเอาใจสาวคัพเล็ก ด้วยประโยคเด็ดในหนังโฆษณา “คับที่อยู่ได้ คัพเออยู่ยาก” จนทำให้ “ซาบีน่า” กลายเป็นแบรนด์ที่ถูกจับตา ทางด้าน “วาโก้” แบรนด์เบอร์ 1 ออกมาตอบโต้กลับด้วยแคมเปญ “บีเลิฟ” เอาใจสาวทรงโตระดับ “คัพซี” ขึ้นไป นับเป็นเกมรับของผู้นำตลาดชุดชั้นในมูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่เปิดศึกกับแบรนด์รองอย่างซาบีน่าอย่างเข้มข้น
สาวไทยคัพไหนกันแน่ ?…หลายคนอาจสงสัย เพราะซาบีน่าได้ออกชุดชั้นในเอาใจสาวคัพเล็ก หลังจากที่ค้นพบว่าสาวไทยส่วนใหญ่ 60% ใช้คัพเอ ซาบีน่านำอินไซท์ข้อมูลมาสร้างให้ “จุดขาย” สำคัญ ผ่านคอลเลกชั่น “ดูม ดูม ซีรี่ส์” เอาใจสาวคัพเล็กที่ต้องการใช้ชุดชั้นในเสริมทรง พร้อมกับทุ่มงบโฆษณา โดยมี คริส หอวัง นางเอกสาวหน้าหมวยจากหนัง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ต้นตำรับหนังเอาใจสาวโสด วัย 30 อัพ มาพร้อมกับประโยคเด็ดในหนังโฆษณา “คัพที่อยู่ได้ คัพเออยู่ยาก” ทำให้ “ซาบีน่า” แบรนด์รองเป็นที่จดจำในตลาดในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อแบรนด์รองเปิดศึกสาวไซส์เล็ก ทางด้าน วาโก้ แบรนด์ผู้นำในตลาดชุดชั้นในอายุ 40 ปี ออกมาตอบโต้ด้วยการออกแคมเปญ “Be love” ด้วยงบ 10 ล้านบาท เอาใจสาวไซส์ใหญ่ที่ใส่ชุดชั้นในขนาดใหญ่ตั้งแต่ “คัพซี” ขึ้นไป หลังจากพบว่าสาวไทยไซส์ใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี
ข้อมูลเหล่านี้ วาโก้ได้ร่วมกับหน่วยงานราชการ สำรวจสรีระสาวไทยทุกๆ 5ปี นำมาปรับปรุง “คัทติ้ง” ให้เข้ารูปทรงของสาวไทย และพบว่าช่วงหลังสาวไทยทรงโตขึ้น ความต้องการชุดชั้นในไซส์ใหญ่ขยายตัวเพิ่ม จากที่เคยมีสัดส่วนไม่ถึง 10% เวลานี้มีสัดส่วนพิ่มขึ้นมาเกือบ 20%
“เวลานี้ผู้หญิงที่ใส่ชุดชั้นในคัพซีขึ้นไป ไม่จำกัดว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ หรือคนสูงวัยเสมอไป สาวๆ วัยรุ่นก็ใส่คัพใหญ่แล้ว สิ่งที่วาโก้ต้องทำคือ การออกแบบให้ทันสมัย ใส่แล้วสนุก เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานให้ดีขึ้น จากเดิมแค่ใส่ประคองหน้าอก ต้องออกแบบใส่แล้วยกกระชับ กว่าจะได้เราใช้เวลาวิจัย ทดสอบมาเกือบปี” ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้ช่วยผู้อำนวยการ แห่งบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของค่ายสหพัฒน์ ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลวาโก้ บอกกับ POSITIONING
เมื่อเทียบกับแคมเปญที่ผ่านๆ มา ธรรมรัตน์บอกว่า การทำตลาดของบีเลิฟ ผ่านการคิดแบบครบเครื่องมากขึ้น ตัวสินค้าออกแบบให้ทันสมัยใส่ความเป็นแฟชั่น ช่องทางจำหน่ายต้องพร้อม การใช้สื่อโฆษณา ทั้งทีวีซี ถ่ายแบบในนิตยสาร รวมถึงการเลือกใช้สื่อออนไลน์ Youtube Facebook สื่อโรงหนัง รถไฟฟฟ้าบีทีเอส ประชาสัมพันธ์ ซึ่งการโปรโมตตั้งแต่ปีที่แล้ว และมาออกหนังโฆษณาในปีนี้ ใช้งบลงทุนกว่า 10 ล้านบาท
“โฆษณาบีเลิฟ เป็นตัวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของวาโก้ เราสื่อสารถึงคุณสมบัติการใช้งานชัดเจนมากขึ้น เมื่อเทียบกับโฆษณาที่ผ่านมาของวาโก้ที่ไม่ได้บอกอะไรมากนัก และต่อจากนี้สิ่งที่จะขาดไม่ได้ในหนังโฆษณาทุกชิ้นของวาโก้ คือ ความทันสมัย” ธรรมรัตน์ บอกถึงแนวทางการสื่อสารของวาโก้
ตั้งแต่ปีที่แล้ว ธรรมรัตน์ลงมือปรับปรุงแบรนด์วาโก้ ผ่านแคมเปญการตลาดรูปแบบต่างๆ เขาหวังว่า แคมเปญเหล่านี้จะช่วยลดอายุแบรนด์วาโก้ที่มีอายุครบ 40 ปี และดูเป็นแบรนด์ของแม่ ให้กลับมาดูสดใหม่ ทันสมัย เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ เฉพาะปีที่แล้วปีเดียว วาโก้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ คู่ขนานไปกับแคมเปญการตลาดที่เน้นเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก เริ่มจากแคมเปญ “ปิ๊ง” ออกมาเพื่อทำให้ภาพวาโก้เด็กลง ตามมาด้วยชุดชั้นในมูดกระตุ้นให้การใส่ชุดชั้นในสนุกสนานขึ้น และชุดชั้นในเกิร์ลลี่ บาย วาโก้ เพื่อเอาใจสาววันทีน
การสื่อสารการตลาดที่วาโก้ คู่ขนานกันไป เน้นสร้างความจดจำให้กับกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก เช่น การเป็นสปอนเซอร์ในหนังวัยรุ่น สุดเขตสเลดเป็ด และคอนเสิร์ตวงดนตรีเกาหลี และเร็วๆ นี้วาโก้จะถูกนำไป Tie-in ในภาพยนตร์ที่ผลิตร่วมกับโรงหนังเมเจอร์ แคมเปญทั้งหมดนี้ที่ต้องใช้งบทั้งปีกว่า 100 ล้านบาท วาโก้หวังว่าจะทำให้แบรนด์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมรับมือแข่งขันในตลาดชุดชั้นในที่กำลังถูกรุมเร้าจากคู่แข่ง
“สายตาของผู้บริโภคทั่วไป วาโก้ยังคงเป็น Brand ที่คนรู้จักมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เป็นแบรนด์ดูมีอายุ เป็นแบรนด์ของคุณแม่ ผลจากการออกแคมเปญเหล่านี้ จะช่วยลดอายุให้แบรนด์เด็กลงไปเรื่อยๆ แต่ในภาพรวมของวาโก้ก็ยังมีความเป็นแบรนด์มหาชน เพราะเรามีสินค้าคลุมได้หมด เด็ก ผู้ใหญ่”
การเข้าถึงพฤติกรรมลูกค้าเป็นอีกกลไกสำคัญที่ต้องทำ และสิ่งที่วาโก้พบคือ พฤติกรรมการซื้อชุดชั้นในของสาวยุคนี้ เปลี่ยนจากการซื้อเพื่อความจำเป็น เป็นการซื้อตามแฟชั่น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานรุ่นใหม่ จากที่เคยนานๆ ซื้อที และซื้อครั้งละ 6-10 ตัว เปลี่ยนมาซื้อน้อยครั้งละตัวหรือสองตัว แต่ซื้อถี่ขึ้นฉลี่ยทุกเดือนหรือ 2 เดือน
พฤติกรรมเหล่านี้ มีผลต่อการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย จากเดิมที่เคยแบ่งกลุ่มลูกค้าตามช่วงอายุ เปลี่ยนมายึดไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน
แนวคิดนี้ส่งผลให้การออกแบบชุดชั้นในของวาโก้ เน้นความหลากหลาย และใส่ความเป็นแฟชั่นและดีไซน์ เพื่อตอบสนองลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้หลากหลายมากขึ้น จากที่มีแค่ 2 กลุ่ม เวลานี้เพิ่มมาโฟกัส 8-9 กลุ่ม และเป็นที่มาของแคมเปญ “บีเลิฟ” เอาใจสาวทรงโต ที่ใส่ความเป็นแฟชั่น เพิ่มความน่าสนใจลงไป ไม่ว่าสาววัย 30 หรือ 40 ปี ก็ชื่นชอบชุดชั้นในแฟชั่นได้ไม่ต่างจากสาววัยรุ่น
ธรรมรัตน์บอกว่า อนาคตจะมีแคมเปญออกมาเจาะตรงเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มในลักษณะกับบีเลิฟมากขึ้น เช่น เฟิร์สบรา ชุดชั้นในสำหรับวัยทีน ที่เคยสร้างให้วาโก้เป็นที่จดจำ สำหรับเด็กสาวเพิ่งเริ่มต้นใส่ชุดชั้นใน ก็อยู่ในแผนการตลาดที่จะทำต่อไป
“การที่วาโก้มีสินค้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทำให้เราแข่งขันได้ทุกตลาด ถ้าคู่แข่งลงเล่นในตลาด Niche เราก็มีสินค้าไปสู้ในตลาดได้ อย่างบีเลิฟนี่ก็ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าจะออกรุ่นอะไร เราต้องศึกษาจุดอ่อน จุดแข็ง และเลือกจังหวะในการออกแคมเปญ”
ถึงแม้ว่าการแข่งขันของตลาดชุดชั้นในเข้มข้นขึ้นจนวาโก้อยู่เฉยไม่ได้ แต่ธรรมรัตน์เชื่อว่า การอยู่ในธุรกิจนี้ 40 ปี มีทั้งโรงงาน การผลิต การออกแบบ คู่ค้า ช่องทางจำหน่าย เป็นจุดแข็งของวาโก้ ที่ธรรมรัตน์เชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คู่แข่งจะช่วงชิงตลาดได้เหมือนกับบางอุตสาหกรรมที่สามารถพลิกตลาดได้ชั่วข้ามคืน
“ในฐานะผู้นำตลาด ถ้าเราอยู่เฉยๆ คงต้องถูกแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปเรื่อยๆ วิธีตั้งรับที่ดีที่สุด คือ การรุกไปข้างหน้า” ธรรมรัตน์เชื่ออย่างนั้น
cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>
style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”> ซาบีน่า
style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>วาโก้
จากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มใหญ่ มีสัดส่วน 60%
จากนั้นตอกย้ำแบรนด์ผ่านกิจกรรมต่างๆ และสื่อสารการตลาด
เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น
คือสาวไซส์เล็กที่ชื่นชอบใส่ชุดชั้นในดันทรง
และความหลากหลาย ให้ตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่ม
cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>
มูลค่าตลาด 5,000 ล้านบาท
ไทยวาโก้