นักวิเคราะห์มอง ‘ตลาดข้าว’ ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ “สภาวะขาดแคลนหนักสุดในรอบ 20 ปี”

นาข้าว
เนื่องจากภาวะสงครามและปัญหาสภาพอากาศกำลังส่งผลให้กำลังการผลิตข้าวทั่วโลกลดลง และกำลังเข้าสู่สภาวะขาดแคลนหนักสุดในรอบ 20 ปี และอาจผลักดันราคาข้าวให้พุ่งสูงขึ้น โดยประเทศนำเข้าจะได้รับผลกระทบหนักสุด

ปัจจุบันมีผู้คนกว่า 3.5 พันล้านคนทั่วโลกที่บริโภค ข้าว เป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่บริโภคถึง 90% ของข้าวทั่วโลก อย่างไรก็ตาม Fitch Solutions กล่าวว่า ตลาดข้าวทั่วโลกคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ และส่งผลให้ราคาข้าวพุ่งสูงในรอบ 10 ปี

โดยราคาข้าวคาดว่าจะสูงไปจนถึงปี 2567 โดยปัจจุบันราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 17.30 ดอลลาร์ต่อตัน แต่จะลดลงเหลือ 14.50 ดอลลาร์ต่อตัน ในปี 2567

“เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าอาหารหลักในหลายตลาดในเอเชีย ราคาจึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของราคาอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครัวเรือนที่ยากจน” Charles Hart นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Fitch Solutions กล่าว

ปริมาณการขาดแคลนข้าวทั่วโลกในปี 2565/2566 จะอยู่ที่ 8.7 ล้านตัน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณข้าวในตลาดก็คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กำลังดำเนินอยู่ รวมถึงสภาพอากาศเลวร้ายในประเทศที่ผลิตข้าวอย่างจีนและปากีสถาน โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 พื้นที่การเกษตรในจีนซึ่งถือเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รับผลกระทบจากมรสุมฤดูร้อนและน้ำท่วมอย่างหนัก ขณะเดียวกัน ผลผลิตของปากีสถานซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของการค้าข้าวทั่วโลกก็ ลดลง 31% เนื่องจากน้ำท่วมรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว

Oscar Tjakra นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Rabobank ธนาคารอาหารและการเกษตรระดับโลก กล่าวว่า ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวที่สุด คือ ประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และประเทศในแอฟริกา

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนจะกลับไปสู่ภาวะปกติในปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาข้าวในอนาคตตกลงต่ำกว่าระดับในปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่มากกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด (2558-2562) โดยราคาข้าวอาจลดลงเกือบ 10% ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม การผลิตข้าวยังคงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

“เรามองว่าการผลิตข้าวทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2023/24 โดยคาดว่าผลผลิตทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยอินเดียจะเป็นเครื่องยนต์หลักของผลผลิตข้าวทั่วโลก ในอีก 5 ปีข้างหน้า”

Source