กรุงศรีเผยบริการใหม่ ASEAN LINK ชูจุดเด่นพันธมิตร MUFG ช่วยภาคธุรกิจลุยตลาดอาเซียน

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้เผยบริการใหม่ ASEAN LINK ที่ปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อาเซียน โดยชูจุดเด่นพันธมิตรของ MUFG ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงชูจุดเด่นเป็นสถาบันการเงินที่บริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนในไทยใช้บริการถึง 75%

บุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงแผนธุรกิจของกลุ่มในปี 2023 นี้ หลังจากที่ธนาคารตั้งเป้าขยายรายได้จากในอาเซียนเพิ่มมากขึ้นเป็น 10% ของรายได้รวม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับบริการ ASEAN LINK ถือเป็นบริการทางการเงินให้กับลูกค้าแบบ Tailor-made ตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิเคราะห์ และสนับสนุนข้อมูลด้านการตลาดรวมถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจ เพื่อการขยายการลงทุนหรือแม้แต่การควบรวมกิจการในต่างประเทศ ไปจนถึงการให้บริการที่ปรึกษาทางกฎหมาย ภาษีอากร หรือแม้แต่การจับคู่ทางธุรกิจ

ซึ่งบริการดังกล่าวที่ บุนเซอิ ได้ยกมานั้น เช่น การสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตเลนส์ในประเทศลาว การให้คำปรึกษาด้านข้อมูลตลาดและข้อบังคับทางกฎหมายในการตั้งสำนักงานของบริษัทวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนาม การช่วยสำรวจและแนะนำพื้นที่ในการตั้งโรงงานแปรรูปอาหารในประเทศเวียดนาม รวมทั้งให้คำปรึกษาในการตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยของบริษัทด้านยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

เขายังเชื่อว่า บริการ ASEAN LINK นี้จะพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการทำธุรกิจ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเติบโตใน 9 ประเทศทั่วทั้งอาเซียน หรือแม้แต่การขยายธุรกิจออกไปยังประเทศอื่นที่มีเครือข่ายของ MUFG ได้

ขณะที่แผนธุรกิจอื่นๆ ยังประกอบไปด้วย

  • สนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินการตามกรอบความยั่งยืน (ESG) ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านเครือข่ายพันธมิตร หรือแม้แต่การปล่อยสินเชื่อ Green Loan ไปจนถึงการออก Green Bond เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม
  • สร้างเครือข่ายและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มทำ Ecosystem ของสตาร์ทอัพ มีการจัดงาน ASEAN Japan Startup หรือแม้แต่ความร่วมมือกับสถานทูตญี่ปุ่นรวมถึงการใช้เครือข่าย MUFG ในการหานักลงทุนมาจับคู่กับเหล่าสตาร์ทอัพด้วย

นอกจากนี้บุนเซอิยังได้กล่าวว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ดูแลลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นสัดส่วนมากถึง 75% ในประเทศไทย ซึ่งมีธุรกิจหลากหลายประเภทตั้งแต่อุตสาหกรรมหนักไปจนถึงธุรกิจทั่วไป

เขายังกล่าวว่าญี่ปุ่นติด 1 ใน 3 ประเทศที่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาไทยมากที่สุด ผู้บริหารของธนาคารกรุงศรีอยุธยารายนี้ยังกล่าวว่าประเทศไทยมีข้อได้เปรียบคือโครงสร้างพื้นฐาน และทักษะแรงงาน โดยมองว่าถ้าไทยยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมหรือเพิ่มความมั่นคงด้านการเงินจะทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินไหลเข้ามาไทยเพิ่มอีกได้