Meta – Apple จากคู่แค้นสู่คู่แข่งอย่างเป็นทางการในตลาด Metaverse!

เรื่องของการแข่งขันข้ามอุตสาหกรรมนั้นมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ อย่างเช่นการที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแข่งขันกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่จากคู่แค้นที่ไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงอย่าง Meta และ Apple ในที่สุดทั้ง 2 บริษัทก็ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกันสักทีในตลาดของ Metaverse

Vision Pro ก้าวแรกของ Apple ท้าทาย Meta

หลังจากที่ Apple ประกาศเปิดตัว แว่น VR/AR Vision Pro ซึ่งแปลว่า Apple กำลังจะกลายมาเป็นหนึ่งในคู่แข่งของ Meta ที่ได้กระโดดเข้าสู่ตลาดเมื่อ 9 ปีที่แล้ว จากการเข้าซื้อกิจการ Oculus สตาร์ทอัพที่พัฒนาแว่น VR/AR ในมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ จากนั้นในช่วงปลายปี 2021 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เป็น Meta เนื่องจาก Mark Zuckerberg มองว่า ยุคต่อไปของการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นยุคที่ผู้คนสวมแว่น VR เพื่อเข้าสู่โลกเสมือนจริงและโต้ตอบกับวัตถุดิจิทัลในรูปแบบ 3 มิติ

ด้วยวิสัยทัศน์นี้ทำให้ Mark Zuckerberg มุ่งมั่นที่จะทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี VR และ AR เพื่อทำให้แนวคิดของเขาเป็นจริงในอนาคต อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ Mark ที่มีแนวคิดนั้นแต่ Tim Cook ซีอีโอ Apple ก็มองถึงโอกาสของ Metaverse ด้วยช่วยกัน

จาก คู่แค้น สู่ คู่แข่ง

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ Meta ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ Apple เลย เพราะ Meta เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ขณะที่ Apple นั้นขายสินค้าไอทีและให้บริการ iOS ดังนั้น คู่แข่งตรง ๆ ของ Apple ก็คือ Alphabet หรือ Google ที่เป็นผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการ Android รวมถึงมีสมาร์ทโฟนของตัวเองด้วย

แต่เนื่องจาก Apple เป็นผู้ กำหนดกฎ สำหรับนักพัฒนาที่จะมาลงแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ และด้วยการเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple ในปี 2020 นั่นทำให้ Meta เสียหายหนัก เพราะผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้มีการติดตามข้อมูลการใช้งานของตัวเองหรือไม่ และถ้าหากเลือกไม่ให้มีการติดตามก็จะเป็นเรื่องยากสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Meta ทันที เพราะจะไม่สามารถระบุการกำหนดโฆษณาไปยังผู้ใช้งานรายนั้นได้

จากการปรับดังกล่าวทำให้ Mark Zuckerberg ออกมาโทษว่า Apple ทำให้รายได้ของบริษัทหดตัวลง รวมถึงยัง ทำร้ายธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่ใช้รูปแบบโฆษณาของ Facebook เพื่อเข้าถึงลูกค้า ขณะที่ Tim Cook ก็สวนว่า Facebook หาเงินจากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้มากกว่าขายสินค้าที่ผู้คนต้องการซื้อ และในปี 2021 เขายังเชื่อมโยงโมเดลธุรกิจของ Facebook กับผลที่ตามมาในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น ก่อให้เกิดความรุนแรง

Facebook CEO Mark Zuckerberg and Apple CEO Tim Cook. Getty Images

และก่อนที่ Apple จะเปิดตัว Vision Pro ทาง Mark Zuckerberg ได้เคยโจมตี Apple ว่า ระบบ VR ของ Meta ดีกว่าอุปกรณ์ที่ Apple กำลังพัฒนาอยู่แน่นอน เนื่องจากเป็นระบบ ecosystem แบบเปิด ซึ่งเหมาะกับเทคโนโลยี VR มากกว่าระบบปิดของ Apple

“ทั้ง Window กับ MacOS หรือ Android กับ iOS นั้นเป็นระบบแบบปิด เพื่อจำกัดการใช้งานของผู้ใช้และเพื่อทำกำไรเพิ่ม แต่ Meta สามารถใช้เทคโนโลยีที่ร่วมพัฒนากับบริษัทอื่น ๆ ได้ เหมือนที่ Meta พัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมบริษัท Microsoft, Autodesk และ Accenture”

ราคาต่างกันราวฟ้ากับเหว

ปัจจุบัน Meta เป็นผู้นำในตลาด แว่น VR/AR เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Sony, HTC และ Magic Leap โดยแว่น Meta Quest 2 สามารถทำยอดขายทั่วโลกถึง 14.8 ล้านตัว นับตั้งแต่ออกวางจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 และล่าสุด Meta ก็เพิ่งเปิดตัว Meta Quest 3 ไปหมาด ๆ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของบริษัท CCS Insight รายงานว่า ยอดจัดส่งแว่น VR/AR ทั่วโลก ในปี 2022 ลดลงถึง -12% อยู่ที่ 9.6 ล้านต้ว

ถึงตลาดแว่น VR/AR จะดูไม่สู้ดีนักแม้จะเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานก็ตาม แต่นักวิเคราะห์เทคโนโลยีหลายคนมองว่า การเข้าสู่ตลาด VR และ AR ของ Apple อาจทำให้ภาคส่วนจำเป็นต้องเริ่มทำให้ผู้บริโภคตื่นเต้นมากขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี

“หากบริษัทหนึ่งมีความสามารถในการเปลี่ยนโฉมตลาด VR ในชั่วข้ามคืน นั่นก็คือ Apple” Leo Gebbie นักวิเคราะห์ของ CCS Insight กล่าวเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2022

แม้นักวิเคราะห์จะเคยมองว่า Apple จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดได้ก็จริง แต่อาจจะไม่มีใครคาดคิดว่า Vision Pro ของ Apple จะราคาสูงถึง 3,499 ดอลลาร์ หรือราว 122,000 บาท ซึ่งดูจากราคาก็รู้เลยว่าไม่ Mass แน่นอน และด้วยราคาดังกล่าวทำให้ Meta Quest มีช่องในการทำตลาดมากกว่า โดยราคาของ Meta Quest 2 อยู่ที่ 300 ดอลลาร์ (ราว 10,500 บาท) และ Meta Quest 3 ที่ราคา 500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 17,500 บาท ดูราคาถูกไปเลย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Meta อาจได้เปรียบ Apple อยู่คงจะเป็นเรื่อง การพัฒนาโลก Metaverse ดังนั้น Meta มีโอกาสที่จะกำหนดเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ของตัวเอง แต่ก็ยังถือว่าเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ในอนาคตว่าโลก Metaverse จะกลายเป็นกระแสหลักได้ในอนาคต

ส่วนจุดแข็งของ Apple คงเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญในการ ผลิตสินค้าสำหรับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเพลงดิจิทัล สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือนาฬิกา และ Apple ก็มีระบบปฏิบัติการใหม่ของตัวเองสำหรับ Vision Pro ซึ่งเรียกว่า VisionOS นั่นหมายความว่า Meta และ Apple จะแข่งขันกันเพื่อนักพัฒนาเกมและแอปพลิเคชันของพวกเขาเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ อีกจุดที่น่าสนใจคือ Apple ได้บริษัทผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่ของโลกอย่าง Disney มาเป็นพันธมิตร โดยแพลตฟอร์ม Disney+ จะรองรับบนแว่น Apple Vision Pro ซึ่งจะทำให้ การดูคอนเทนต์สมจริงยิ่งขึ้น เสมือนว่าผู้ชมเข้าไปเป็นตัวละครในนั้นเลย

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของคู่แค้นที่กลายมาเป็นคู่แข่งจริง ๆ คงต้องรอดูต่อไปว่าทั้ง 2 บริษัทจะช่วยขับเคลื่อนเทรนด์ Metaverse ให้เกิดขึ้นจริงได้แค่ไหน เพราะพูดตามตรงว่าในปัจจุบันโลก Metaverse กำลังอยู่ในช่วงย่ำแย่ ราคาที่ดินเสมือน, NFTs ก็ลดลง ขณะที่วัยรุ่นเองก็ยังไม่ได้อินกับเทคโนโลยีใหม่ขนาดนั้น

CNBC / CNBC / The Verge / cointelegraph