บริกรปาดเหงื่อ! ผู้บริโภค “อเมริกัน” เริ่มให้ “ทิป” น้อยลง หลังค่าครองชีพสูง-เศรษฐกิจผันผวน

ทิป
หลังผ่านพ้นโควิด-19 ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจผันผวนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันเริ่มรู้สึกแย่กับการให้ “ทิป” ซึ่งเริ่มคิดในอัตราสูงขึ้นและคิดทิปในหลายธุรกิจมากขึ้น

สังคมอเมริกันเริ่มมีการคิด “ทิป” รวมไปในค่าบริการหลายโอกาสมากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นบริการในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไปจนถึงแอปส่งสินค้าเดลิเวอรีต่างก็เรียกร้องให้ผู้บริโภคจ่ายทิป

แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มผันผวนและค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงเริ่มต้องการจะลดการให้ทิปลง และเริ่มหงุดหงิดใจกับการบังคับทิปมากขึ้นทุกที

Bankrate มีการสำรวจผู้บริโภคอเมริกัน และพบว่าผู้บริโภคที่ตอบว่าตนให้ทิป “ทุกครั้ง” เมื่อใช้บริการต่างๆ เริ่มมีสัดส่วนน้อยลงเมื่อเทียบกับการสำรวจปีก่อน โดยการบริการที่มีการให้ทิป เช่น ทานอาหารนอกบ้าน บริการเรียกรถ ตัดผม เดลิเวอรี แม่บ้าน ช่างซ่อมบ้าน ฯลฯ

“เงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ไม่ดีดูเหมือนจะทำให้ชาวอเมริกันประหยัดขึ้นกับการให้ทิป ในขณะเดียวกัน เราต้องเผชิญหน้ากับการเชิญชวนให้ช่วยทิปมากกว่าที่เคยเป็นมา” Ted Rossman นักวิเคราะห์อาวุโสที่ Bankrate กล่าว

NerdWallet มีการสำรวจผู้บริโภคเช่นกัน และพบว่าหลายคนรู้สึกถูก “กดดัน” ว่าต้องให้ทิปมากกว่าปีก่อน

Bankrate บอกด้วยว่า 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันมีมุมมองเชิงลบต่อการ “ทิป” โดยเฉพาะเมื่อต้องให้ทิปผ่านระบบชำระเงินดิจิทัลซึ่งมักจะสร้างตัวเลือกการทิปมาให้อย่างชัดเจนล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทิปเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ร้านมักจะตั้งอัตราการทิปอยู่ระหว่าง 15% ถึง 35% ของราคาสินค้า/บริการ

ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทให้ความเห็นว่าการทิปประมาณ 20% ในร้านอาหารประเภทนั่งรับประทาน มีบริกรคอยบริการภายในร้าน ยังเป็นมาตรฐานที่คนอเมริกันยอมรับร่วมกัน แต่สำหรับบริการประเภทอื่น เช่น ร้านกาแฟที่เป็น kiosk ซื้อกลับบ้าน ซึ่งไม่เคยมีการคิดทิปมาก่อนในอดีต ดูจะเป็นสิ่งที่คนอเมริกันไม่ค่อยยอมรับว่าจะต้องทิปด้วย

Toast มีการสำรวจการทิปในร้านอาหารต่างๆ พบว่าร้านอาหารประเภทฟูลเซอร์วิสยังได้รับทิปสม่ำเสมอ แต่ในร้านลักษณะฟาสต์ฟู้ดหรือที่ต้องบริการตนเอง ค่าเฉลี่ยอัตราการทิปลดลงมาเหลือ 16.7% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 5 ปี

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนล้าที่จะต้องทิป” Eric Plam ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Uptip สตาร์ทอัปจากซานฟรานซิสโกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริการช่องทางให้ทิปแบบไร้เงินสด กล่าวกับ CNBC “ในช่วงโควิด-19 ทุกคนอยู่ในช่วงช็อกและรู้สึกโอบอ้อมอารีมากกว่าปกติ”

ปัญหาก็คือ เมื่อทิปมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ก็ทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ในการทิปซึ่งไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในช่วงปกติอีกต่อไป ยิ่งมีการกำหนดอัตราส่วนที่ต้องทิปไว้ให้แล้ว ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเป็น “การทิปที่น่ารังเกียจ”

อย่างไรก็ตาม Plam มองในอีกมุมหนึ่งว่า การทิปยังคงสำคัญมากกับพนักงานที่ได้ค่าจ้างเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำหรือน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เช่น พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดแบบจ้างประจำจะได้ค่าจ้างเฉลี่ย 14.34 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ส่วนแบบพาร์ทไทม์จะได้เฉลี่ย 12.14 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ซึ่งค่าจ้างที่ว่านี้รวม “ทิป” แล้ว (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติด้านแรงงานสหรัฐฯ)

“คนเราควรจะทราบไว้ด้วยว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนคนหนึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการทิปมากทิปน้อย” Plam กล่าว

Source