หลังจบภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 8 ในชีวิตของ “เต๋อ–นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์” เขากลับเข้าสู่วงจรของการทำงานกำกับ “โฆษณา” อีกครั้ง พร้อมกับการซุ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่องที่ 9 และบทซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตที่แอบแย้มประตูบอกว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ ‘ไกลตัวเอง’ มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ “พี่เต๋อ” หายหน้าจากวงการโฆษณาไปเกือบ 2 ปี เพราะต้องทุ่มเทให้กับงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Fast & Feel Love เร็วโหด…เหมือนโกรธเธอ” ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 8 ของเต๋อ-นวพลที่เข้าฉายเมื่อปี 2565
ล่าสุดเรามีโอกาสพูดคุยกับเขาในงานเปิดตัวหนังโฆษณาชุด “เดอะแบก” ของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ซึ่งมีพี่เต๋อเป็นผู้กำกับ และเป็นงานโฆษณาลำดับที่ 3 ของเขาในปี 2566 ปีที่เขากลับมารับงานโฆษณาอีกครั้ง (และล่ารางวัลมาได้ทันทีกับโฆษณาชุด Whiplove ที่ทำให้ห้างฯ โรบินสัน โดยเป็นงานโฆษณาไทยงานแรกที่ได้รางวัล Best of Show จากเวที New York Festival)
Q: ก่อนหน้านี้พี่เต๋อหายจากวงการโฆษณาไป ปกติจัดระบบอย่างไรระหว่างการทำหนังกับทำโฆษณา?
A: ใช่ครับ มีเบรกโฆษณาไปเกือบ 2 ปีเพราะไปทำหนัง Fast & Feel Love ช่วงนี้กลับมาก็เพราะกำลังพัฒนาบทหนังเรื่องใหม่อยู่ แต่สำหรับผมโฆษณากับหนังมันไม่ใช่งานหนึ่งงานสองนะ ผมทำได้ทั้งคู่ เพียงแต่แล้วแต่จังหวะชีวิตมากกว่า
ปกติเวลากลับมาทำโฆษณาเฉลี่ยผมจะรับงาน 5-6 ชิ้นต่อปี ซึ่งน้อยมากถ้าเทียบกับคนกำกับโฆษณาเป็นอาชีพ เขาจะรับกันเดือนละ 1-2 ชิ้น แต่เพราะเราอยากจะทำทั้งสองอย่างเลยเลือกทางนี้
Q: โฆษณาแบบไหนที่เป็นงานถนัด และพี่เต๋อเลือกงานอย่างไรเพราะปีหนึ่งรับได้น้อยชิ้น
A: อาจจะเพราะผมโตมาช่วงโฆษณา long form ที่จะเป็นรูปแบบหนัง ก็จะทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ไม่เคยทำแบบ TVC 90 วินาทีเป๊ะที่ต้องทำสตอรีบอร์ด เพราะฉะนั้นทั้งเอเจนซีและลูกค้าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเราถนัดอะไร ถ้าอยากได้เซนส์ประมาณนี้ ทางประมาณนี้ เอ้อ ควรเป็นเรา
คนที่เข้ามาก็จะเชื่อมือ เหมือนเลือกกันและกัน เหมือนกับเลือกคู่แต่งงาน เขาเชื่อว่าเราทำได้ ส่วนเราก็สบายใจ ใส่ได้เต็มร้อยในการเอาความรู้ความสามารถหลายปีมาทำให้กับลูกค้า
Q: เอกลักษณ์ ‘หนังเต๋อ’ เซนส์แบบไหนที่ลูกค้าเลือก
A: น่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต เวลาเราทำหนังมักจะเลือกเรื่องประมาณนี้ เราจะไม่ทำหนังแบบธริลเลอร์หรือ high concept มากๆ แต่จะเล่าเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันที่คนอาจมองข้ามไป อย่างโฆษณาล่าสุดของพรูเด็นเชียลก็จะเล่าเรื่องในชีวิตจากไอเดียว่า ‘เดอะแบกไม่ใช่แค่คุณคนเดียว’
Q: เล่าเบื้องหลังของโฆษณาชุด “เดอะแบก” หน่อย ไอเดียที่ได้มาจากไหน
A: บรีฟจากเอเจนซีเข้ามาว่า จะเป็นธีมของ “end credit” เหมือนชีวิตหรืองานที่เราทำอยู่มันมีเบื้องหลังมากมายในเชิงเปรียบเปรยกับทีมงานในกองถ่ายหนัง ซึ่ง end credit ในชีวิตเราบางทีก็จะเป็นคุณแม่ น้อง แฟน หรือลูก ที่ช่วยเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะไม่ใช่การช่วยงานโดยตรงแต่เป็น การดูแลบ้าน ดูแลใจ หรือเขามีทักษะบางอย่างที่เราไม่มีก็ได้ เช่น ในโฆษณาก็จะมีลูกมาเตือนพ่อว่าเวลาประชุมออนไลน์อย่านั่งหลังค่อม ซึ่งจริงๆ เด็กเขาคุ้นเคยกับโลกออนไลน์จนมองเห็นเรื่องแบบนี้ ทำให้เห็นว่าแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่า แต่ก็ช่วยเราได้
เราก็รู้สึกว่าเป็นคำเปรียบเปรยที่ดีนะ บางทีเราไม่ได้คิดถึงคนเบื้องหลังเพราะมัวแต่ทำงาน ผมว่าเป็นบรีฟที่สนุกดี น่าทำ
งานนี้ตอนถ่ายไม่ยาก แต่สนุกตอน post-production ต้องมาดูว่าเขียน copy แบบไหนดีให้มันใกล้เคียงกับตำแหน่งคนในกองถ่าย ให้ดูเหมือน end credit จริงของหนังและเปรียบเปรยกับชีวิตจริงได้ด้วย คำไหนจะตลก เรามีหน้าที่ตรงนี้ มาทำให้น่าสนใจมากขึ้น
Q: ทำหนังสลับกับทำโฆษณา มีข้อดีอย่างไร
A: มันเติมเต็มกันและกัน เพราะเวลาทำหนังเราก็จะได้ทักษะบางอย่างเพิ่มขึ้นที่มาใช้กับโฆษณาได้ กลับมาวงการก็ทำให้โฆษณาเรา ‘เฟรช’ ขึ้น ระหว่างเราทำโฆษณาเราก็จะได้เรียนรู้บางอย่างและเอากลับไปทำหนังต่อ
อย่าง Fast & Feel Love ธีมเป็นหนังแอคชันในชีวิตประจำวัน เราก็ต้องหาวิธีถ่ายทำใหม่ให้มัน ‘ฟึ้บๆๆ’ ซึ่งเราไม่เคยทำเลยนะ ตอนไปจับแรกๆ นี่คิดว่า ‘หาเรื่องอีกแล้วกู’ (หัวเราะ) แต่พอหนังเสร็จ เราก็จะเห็นว่าที่เราทำไปมันได้ผลอย่างไร ตัดต่อแบบนี้มันสนุก มันตลกขึ้น เหมือนได้ไปสะสมอาวุธใหม่เพิ่ม ก็เป็นหน้าที่เนอะ คนทำงานครีเอทีฟ เราก็ไม่ควรจะวนลูปของเดิมใช้ไปเรื่อยๆ
มันเติมเต็มกันและกัน เพราะเวลาทำหนังเราก็จะได้ทักษะบางอย่างเพิ่มขึ้นที่มาใช้กับโฆษณาได้ … เหมือนได้ไปสะสมอาวุธใหม่เพิ่ม ก็เป็นหน้าที่เนอะ คนทำงานครีเอทีฟ เราก็ไม่ควรจะวนลูปของเดิมใช้ไปเรื่อยๆ
Q: ระหว่างปีนี้ที่ทำโฆษณา ก็กำลังซุ่มพัฒนาหนังเรื่องใหม่ด้วย?
A: ใช่ครับ จบงานนี้ (โฆษณาเดอะแบก) ผมจะพัก 2 เดือน เพื่อทำบทให้เสร็จ ตอนนี้มีทำบทซีรีส์ 1 เรื่อง และหนังยาว 1 เรื่อง จะเป็นการทำซีรีส์เรื่องแรกด้วย
Q: ปีที่แล้วหลัง Fast & Feel Love ออกฉาย พี่เต๋อบอกว่ารู้สึกเหมือน ‘หมดก๊อก’ แต่ปีนี้กลับมาพร้อมไอเดียถึง 2 เรื่องได้อย่างไร
A: ใช่ คือทุกครั้งที่ทำหนังเรื่องหนึ่งเสร็จ มันจะเหมือนรีดเค้นทุกอย่างในชีวิตเข้าไปในนั้นเลย พอหนังจบเราก็ขอพักแป๊ป
ตอนแรกก็คิดว่าหมดก๊อกนะ แต่พอไปพักสักพักก็ได้คำถามใหม่กับชีวิต หรือเจอเรื่องที่สนใจ ก็ค่อยๆ สร้างไอเดียออกมา แต่ว่ามันจะเริ่มเป็นเรื่องที่ไกลตัวออกไป อาจจะไม่ใช่เรื่องชีวิตของเราแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าไปสนใจที่ไกลจากตัวเองอีกเล็กน้อย เช่น อาชีพที่เราไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็จะต้องใช้เวลาหาข้อมูลเพิ่ม
Q: ไปพักอย่างไรให้ได้ไอเดียใหม่ๆ
A: เราว่าก็แค่ไปใช้ชีวิต ตอบดูกว้างมากเนอะ (หัวเราะ) จริงๆ ก็คือไปเจอคนใหม่ๆ มากขึ้น เจอคนที่เราไม่เคยเจอ
อีกอย่างคือ stage ชีวิตมันเปลี่ยนนะ ตอนนี้จะให้เราไปทำหนังแบบวัยรุ่นเด็กมัธยม เราก็ทำไปแล้วและตอนนี้เราก็โตกว่านั้น เรื่องที่เราสนใจก็เปลี่ยนไป เราจะเริ่มอยากทำเรื่องอื่นแล้ว
Q: พี่เต๋อสนใจจะทำหนังสำหรับลงสตรีมมิ่งโดยเฉพาะไหม
A: ถ้าเป็นหนังเรายังคิดว่าถ้าได้ลงที่โรงก่อนก็ดีนะ อาจจะมีความเป็นคนยุคก่อนนิดหน่อย คือเรามองว่า ‘ความฟิน’ ต่างกัน เช่น จอเล็กกับจอใหญ่ และเหมือนเวลาเราทำฉายโรง คนจะจำได้มากกว่า สตรีมมิ่งมันเร็วมากนะ คุณมีเวลา 7 วันแล้วหายไปเลยเพราะว่าเขามีหนังใหม่เข้าตลอด ก็ตามชื่อเลย สตรีมมิ่งเหมือนสายน้ำที่ผ่านไปเร็ว
แต่จริงๆ อีกทางหนึ่งสตรีมมิ่งก็เป็นเรื่องดี ยกตัวอย่าง Fast & Feel Love ตอนลงโรงคนดูน้อยมาก แต่พอหนังมาเข้าสตรีมมิ่งมันเกิดกระแสกลับมาอีกรอบ เราเลย ‘อ๋อ เขาเปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้วนั่นเอง’ ไม่ใช่เขาไม่อยากดู แต่เขารอดูที่สตรีมมิ่ง
สตรีมมิ่งยังทำให้คนที่ไม่เคยดูหนังเรามีโอกาสได้ลอง การส่งไปต่างประเทศก็จะง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราต้องรอเทศกาลหนัง แต่ตอนนี้ถ้าอยู่ใน Netflix ก็ดูได้ทั่วโลก ก็เป็นประโยชน์กับคนทำหนังครับ