Issey Miyake ดีไซเนอร์ผู้เติบโตจากเหตุการณ์ปรมาณู ผู้สร้างรอยย่น “พลีท” แก่วงการแฟชั่น

อิซเซย์ มิยาเกะ (Issey Miyake) เคยประกาศไว้แบบเท่มาก ๆ ว่า “การออกแบบจำเป็นต้องแสดงถึงความหวัง” คำพูดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนี้สะท้อนตัวตนและความเชื่อที่น่าสนใจของผู้ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ ผู้ที่มีวัยเด็กสุดเจ็บปวด แต่สามารถพาตัวเองไปสู่การยอมรับของคนทั่วโลก

มีคนไม่มากที่รู้จริงเกี่ยวกับวัยเด็กที่รวดร้าวของอิซเซย์ มิยาเกะ เนื่องจากมิยาเกะเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้จนกระทั่งช่วงปีหลังของชีวิต เป็นเพราะมิยาเกะเคยบอกไว้เมื่อปี 2009 ว่าเขาไม่ต้องการถูกเรียกว่า “นักออกแบบที่รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู” ซึ่งแม้มิยาเกะได้เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นเวลานาน แต่นักออกแบบสัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ได้จากโลกไป 1 วันก่อนวันครบรอบ 77 ปีของเหตุระเบิดที่บ้านเกิด

Issey Miyake นักออกแบบเสื้อผ้าชื่อดังระดับโลกได้เสียชีวิตวันที่ 5 สิงหาคม 2022 ด้วยโรคมะเร็งตับในวัย 84 ปี สิ่งที่โลกจดจำเกี่ยวกับมิยาเกะไม่ใช่ชีวิตที่ผ่านช่วงเวลาการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า ซึ่งคนที่ใกล้ชิดบอกว่านี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจมาทำงานด้านการออกแบบเท่านั้น แต่โลกยังปรบมือให้มุมมองต่อบทบาทของงานออกแบบของมิยาเกะ ที่มองว่าการออกแบบควรตอบคำถามการใช้ชีวิตของมนุษย์ ให้ได้มากกว่าการทำเงินได้สูงๆ

ทิ้งความฝันนักเต้น ลงมือทำเสื้อผ้าที่ใครใส่ก็เต้นได้อิสระ

อิซเซย์ มิยาเกะ มีชื่อเสียงจากการออกแบบเสื้อผ้าสไตล์ “จับจีบ” ที่ไม่เคยมีรอยย่น และเป็นผู้ผลิตเสื้อคอเต่าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ให้สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิล (Apple Inc) สวมคู่กับกางเกงยีนส์ลีวายส์และรองเท้านิวบาลานซ์ โดยในช่วงแรกของชีวิต เด็กชายมิยาเกะมีความฝันอยากเป็นนักเต้นหรือนักกีฬา ก่อนที่จะอ่านนิตยสารแฟชั่นของน้องสาว จนเป็นแรงบันดาลใจให้เปลี่ยนทิศทางชีวิต ซึ่งความสนใจดั้งเดิมเหล่านี้เองที่เชื่อกันว่าเป็นเบื้องหลังการเพิ่ม “เสรีภาพในการเคลื่อนไหว” ให้กับผู้สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์มิยาเกะ

Issey Miyake
(Photo by Daniel SIMON/Gamma-Rapho via Getty Images)

มิยาเกะนั้นเกิดที่ฮิโรชิม่า ปี 1938 ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 พ่อของเด็กชายมิยาเกะเป็นทหารในแมนจูเรีย ทำให้คุณแม่เป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างในการเลี้ยงดู

เมื่อมีงานเทศกาล แม่ของมิยาเกะเคยทำกางเกงจากธงชาวประมง ซึ่งมิยาเกะชื่นชมแม่อย่างมากว่าเป็นคนมีสไตล์เรียบง่าย จิตใจงาม และห่วงใยลูกสุดๆ

ตอนอายุ 7 ขวบ มิยาเกะอยู่ในช่วงเวลาอันน่าสยดสยองของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีการมองว่าประสบการณ์จากเหตุระเบิดกลายเป็นแรงผลักดันให้กับวิสัยทัศน์ของเขาในฐานะนักออกแบบ และเมื่อการมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แก่นแท้ของมิยาเกะจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเกิดสันติภาพ และได้เทสันติภาพลงในงานออกแบบของตัวเองด้วย

ตรงนี้มีการแก้ข่าวตามมาว่าแม้จะเกิดที่ฮิโรชิม่า แต่ไม่ใช่ว่าตัวมิยาเกะจะอยู่ในพื้นที่ตอนที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้ง เวลานั้น มิยาเกะอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางระเบิดไป 5 กิโลเมตร และมิยาเกะได้ออกตามหาแม่และเดินเข้าหาแนวระเบิด

ในการให้สัมภาษณ์ทางวิทยุเมื่อมิยาเกะอายุ 74 ปี มิยาเกะได้ลงรายละเอียดประสบการณ์ส่วนนี้ว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายแม่นั้นเต็มไปด้วยแผลเป็นคีลอยด์ ถึงอย่างนั้น แม่ก็มีพลัง อย่างน้อยก็ในช่วงสั้นๆ และการบาดเจ็บจากเหตุระเบิดทำให้แม่ของมิยาเกะเสียชีวิตในอีก 3 ปีต่อมา

หนุ่มน้อยมิยาเกะต้องอดทนสูงมากเนื่องจากผลกระทบของเหตุระเบิด แต่การวาดภาพได้เปิดโลกใหม่ ซึ่งแม้จะยากจน แต่มิยาเกะก็ยังทุ่มเทให้กับงานศิลปะ ผลจากครูในโรงเรียนประถมที่เป็นอดีตทหารผู้หลงใหลในการวาดภาพ มักจะมาเปิดกลุ่มวาดรูปถึงก่อนเวลาสอน 1 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับมิยาเกะแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้น

Issey Miyake
Photo : Shutterstock

มิยาเกะจึงเข้าร่วมชมรมศิลปะที่โรงเรียนมัธยมโคคุไตจิ ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย กิจกรรมเดินป่า ถ่ายรูป และสเก็ตช์ภาพล้วนเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีมาก มิยาเกะเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมอย่างกระตือรือร้นด้วยตนเอง และ 7 ปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นในเมืองฮิโรชิม่าที่ถูกทำลายล้าง ซึ่งมิยาเกะยกให้สะพานนี้ เป็นการ “เผชิญหน้ากับการออกแบบ” ครั้งแรกในชีวิต

“มันเรียกว่าสะพานสันติภาพ ผมเคยขี่จักรยานข้ามถนนแล้วคิดว่า ‘นี่คือการออกแบบ’ ผมรู้เลยว่าผมอยากเป็นนักออกแบบ” อิซเซย์เคยเล่าไว้ ตามข้อมูลจากรายการ NHK World

สะพานนี้ได้รับการออกแบบโดยประติมากรชื่อดัง อิซามุ โนกุจิ โดยการออกแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสื่อถึงการสร้างฮิโรชิม่าขึ้นใหม่ ซึ่งแม้บางครั้งมิยาเกะจะเคยสงสัยว่า “การมาจากฮิโรชิม่า” มีหมายความอย่างไรต่อชีวิตของเขา แต่มิยาเกะก็ยืนยันว่าสามารถพูดได้เต็มที่ถึงการเกิดและโตที่ฮิโรชิม่านั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม

ทำงานหนัก ไม่ยอมแพ้ใคร

ในขณะที่บ้านเกิดเริ่มฟื้นคืนชีพ มิยาเกะก็ออกจากเมืองไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะในโตเกียว ตลอดเวลาในมหาวิทยาลัย มิยาเกะจะทำงานหนักเพราะไม่อยากแพ้ใคร และได้เริ่มไล่ตามเส้นทางในฐานะนักออกแบบ ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา

หลังจากสำเร็จการศึกษา มิยาเกะก็มีการแสดงผลงานที่ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก จนในปี 1965 มิยาเกะย้ายไปปารีส และทำงานในวงการโอต์กูตูร์หรือเสื้อผ้าหรูหราประมาณ 2 ปี จนได้ตระหนักว่ามีบางอย่างที่สำคัญมากกว่าแฟชั่นโอต์กูตูร์

“แฟชั่นคือการทำเสื้อผ้าให้เหมาะกับผู้หญิง แต่ผมอยากจะทำเสื้อผ้าให้เข้ากับยุคสมัย”

Issey Miyake
Photo : Shutterstock

เมื่อตัดสินใจเดินทางกลับญี่ปุ่น มิยาเกะได้สร้างการออกแบบที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล โดยเสื้อผ้าชิ้นแรกที่มิยาเกะออกแบบ คือสิ่งที่พับได้เหมือนโอริกามิ ก่อนจะตั้งชื่อว่าเสื้อ A-POC ซึ่งเป็นเสื้อที่สามารถผลิตได้โดยไม่ก่อให้เกิดขยะ สร้างความฮือฮาและนำไปสู่อิมแพคอย่างมากในโลกแฟชั่น โดยงานของมิยาเกะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสื้อผ้าเท่านั้น แต่ชื่อมิยาเกะกลายเป็นที่รู้จักจากการใช้สิ่งทอและวัสดุอย่างสร้างสรรค์ด้วย

ความที่เสื้อผ้าของมิยาเกะสวมใส่สบายและปรับเปลี่ยนได้ สินค้าจึงได้รับความสนใจไปทั่วโลก จนในปี 1989 มิยาเกะหันมาสนใจการจับจีบ และผลลัพธ์ที่ได้ล้วนน่าประหลาดใจ นั่นคือคอลเลกชัน Pleats Please ที่ทำให้มิยาเกะกลายเป็นที่ฮือฮาในทันที โดยได้รับการยกย่องเป็นการออกแบบที่ปฏิวัติวงการซึ่งแตกต่างไปจากแนวคิดที่ว่าเสื้อผ้ามีไว้เพื่อสวมใส่เท่านั้น การออกแบบของมิยาเกะมีความน่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ และมีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นอยู่ใต้พื้นผิวของงาน

“ผมพยายามไม่ถูกกำหนดโดยอดีตของตัวเอง ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่”

อยู่เหนือกาลเวลา ด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่สำหรับเสื้อผ้

มิยาเกะได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเสื้อผ้าที่สามารถเป็นได้ โดยสร้างไลน์เสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ สินค้านี้ถูกเรียกว่า ‘A-POC Inside’ เป็นการสร้างชุดเดรสจากด้ายเส้นเดียวโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เรียกว่าสร้างคอนเซ็ปต์ใหม่สำหรับเสื้อผ้าขึ้นมา เพื่อแสดงออกถึงมุมมองของตัวเองผ่านการออกแบบ

“ผมเชื่อว่าการออกแบบให้ความหวัง การออกแบบสร้างความประหลาดใจและความสุขให้กับผู้คน”

Issey Miyake
Photo : Shutterstock

ถึงบรรทัดนี้ เราสามารถสรุปได้จากภาพรวมชีวิตและอาชีพของ Issey Miyake คือประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และการมีส่วนร่วมของตัวเอง ล้วนหล่อหลอมมิยาเกะในโลกแห่งการออกแบบเสื้อผ้า โดยเฉพาะการมูฟออนจากสิ่งที่ปวดร้าวในชีวิต สู่พลังใจในการลุกขึ้นมาสร้างความสุข

“เมื่อผมหลับตา ผมยังคงเห็นสิ่งที่ไม่มีใครควรได้สัมผัส” มิยาเกะเคยเล่าถึงการเสียชีวิตจากการสัมผัสรังสีของคุณแม่ภายในสามปีหลังเหตุระเบิด “ผมพยายามลืม แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แต่ผมเลือกที่จะคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่มุ่งทำลาย และนำมาซึ่งความสวยงามและความสุข ผมเลือกที่จะมุ่งสู่สาขาการออกแบบเสื้อผ้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นรูปแบบที่สร้างสรรค์ ทันสมัย และมองโลกในแง่ดี”.

ที่มา : NHK, BBC, Reuters, The Guardian, Harpersbazaar