ผลกระทบจากโลกร้อนกำลังทำให้ราคาของโกโก้สูงขึ้น หลังมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตที่เก็บได้ในทวีปแอฟริกาจะมีปริมาณลดลง และยังทำให้ช็อกโกแลตที่ขายตามท้องตลาดมีราคาแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคด้วย
ปัญหาสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้ฟาร์มโกโก้ขนาดใหญ่ในแอฟริกา มีผลผลิตที่ต่ำลง โดยปริมาณโกโก้ที่ออกตลาดน้อย ส่งผลทำให้ปริมาณโกโก้ในท้องตลาดขาดตลาดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว ขณะเดียวกันผู้ผลิตช็อกโกแลตเองก็เริ่มจะได้รับแรงกดดันจากต้นทุนที่สูง และยอดขายที่ไม่เติบโตมากนักด้วย
ประเทศผู้ผลิตสำคัญก็คือไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้รายใหญ่ โดยส่งออกไปทวีปยุโรปมากถึง 68% ของปริมาณที่ผลิตได้ รวมถึง กาน่า ได้ประสบปัญหาฝนตกอย่างหนัก ศัตรูพืชของโกโก้ระบาด หรือแม้แต่โรคพืชที่เกี่ยวข้องกับต้นโกโก้ ส่งผลทำให้ประเทศเหล่านี้มีผลผลิตลดลง
ปัจจุบันไอวอรี่ โคสต์ รวมถึง กาน่า มีปริมาณผลิตโกโก้ส่งออกสู่ท้องตลาดมากถึง 2 ใน 3 ของความต้องการโกโก้ในปัจจุบัน
ไม่เพียงแค่ปัญหาฝนฟ้าอากาศ หรือแม้แต่ปัญหาที่เกี่ยวกับต้นโกโก้ ราคาปุ๋ยเคมีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผลผลิตโกโก้เพิ่มก็มีราคาแพงมากขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าราคาโกโก้ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่อาจทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นมากนัก
บทวิเคราะห์จาก Rabobank กล่าวว่า ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นเหล่านี้อาจยังมีต่อไปจนถึงปี 2024 เนื่องจากเหตุการณ์สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงในแอฟริกา และการขาดแคลนผู้ผลิตรายอื่นที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 2022 ที่ผ่านมาราคาของโกโก้เพิ่มขึ้นถึง 47% ขณะเดียวกันทาง Reuters ยังรายงานว่าราคาโกโก้นั้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 46 ปีด้วย สำหรับผู้ผลิตช็อกโกแลตแล้ว ไม่ใช่แค่ราคาโกโก้ที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น วัตถุดิบสำคัญในการผลิตช็อกโกแลตอย่างน้ำตาลก็มีราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีหลังจากที่ราคาของช็อกโกแลตได้เพิ่มขึ้นมา 2 ปีแล้ว สภาวะของผู้บริโภคที่ขาดความเชื่อมั่นทั่วโลกจากปัญหาเงินเฟ้อ เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตช็อกโกแลต เนื่องจากยอดขายหลังจากนี้อาจไม่เติบโต และไม่สามารถที่จะผลักภาระต้นทุนแก่ผู้บริโภคได้หมดหลังจากนี้ และนั่นทำให้กำไรของบริษัทเหล่านี้อาจลดลง
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นนั้นทำให้ราคาของโกโก้หรือแม้แต่ช็อกโกแลตจะยังมีราคาแพงต่อไป จนกว่าหลากหลายสถานการณ์จะคลี่คลายลง