ดูเหมือนเทศกาล Black Friday ในสหรัฐอเมริกายังคงไม่เสื่อมมนต์ขลัง โดยเฉพาะบนอีคอมเมิร์ซที่สามารถเติบโตได้ถึง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่างจากวันคนโสด 11.11 ในจีน ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร
ตามรายงานของ Adobe Analytics เปิดเผยว่า การจับจ่ายบนอีคอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกาในวัน Black Friday พุ่งขึ้น 7.5% จากปีก่อนหน้า โดยแตะระดับ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เพิ่มเติมว่า ผู้บริโภคที่คํานึงถึงราคาต้องการใช้จ่าย และต้องการ ข้อเสนอที่ดีที่สุด และกําลังตามล่าดีลเหล่านั้นทางออนไลน์
“เราได้เห็นผู้บริโภคที่มีกลยุทธ์มากเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาซึ่งพวกเขากําลังพยายามใช้ประโยชน์จากวันนี้จริง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับส่วนลดสูงสุด” Vivek Pandya หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Adobe Digital Insights กล่าว
Pandya มองว่า เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำการโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย มีบทบาทเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในวัน Black Friday เนื่องจากยอดขายออนไลน์มูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์มาจากการช็อปปิ้งบนมือถือ ซึ่งช่วยให้เห็นดีลดี ๆ และใช้จ่ายบนมือถือได้ง่าย
อีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายก็คือ โปรโมชั่น ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง โดยยอดขายถึง 79 ล้านดอลลาร์ มาจากผู้บริโภคที่เลือกวิธีการชําระเงินแบบดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้น 47% จากปีที่แล้ว สำหรับหมวดหมู่สินค้าที่ขายดีที่สุดของ Black Friday คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทวอทช์และโทรทัศน์ พร้อมด้วยของเล่นและเกม
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของ Mastercard เกี่ยวกับยอดขาย Black Friday ในปีนี้พบว่า ยอดขาย in-store เพิ่มขึ้นเพียง 1% เมื่อเทียบกับยอดขายออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
“ฉันคิดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง Black Friday ได้เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ที่ผ่านมา การช้อปในร้านค้า ต้องแย่งชิง และมีคิวยาว แต่การซื้อออนไลน์มันง่ายกว่า ทั้งการเปรียบเทียบราคาและการหาราคาที่ดีกว่า” Pandya กล่าวทิ้งท้าย