บล.บัวหลวง มองหุ้นไทยปีหน้านั้นอาจมีโอกาสแตะ 1,600 จุดได้ โดยได้ปัจจัยจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีสิทธิ์ลดอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งได้
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสภาวะของหุ้นไทยยังทำผลตอบแทนได้แย่กว่าหลายตลาดหุ้น ถ้าหากมองในเทอมค่าเงินบาทแล้วหุ้นไทยจะมีผลตอบแทน -17% แต่ถ้ามองในเทอมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นลดลงถึง -20%
เขาได้ให้สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้แย่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ คือการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขส่งออกขยายตัวต่ำกว่าคาด จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด และยังรวมถึงการลงทุนภาครัฐหดตัวจากการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลบริหารประเทศ
ขณะที่ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ชัยพร ได้ให้มุมมองว่า ตัชนี Nasdaq กลับมาใกล้จุดสูงสุดเดิมแล้ว แต่ถ้าคนลงทุนหุ้นรายตัวอาจยังไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาแต่อย่างใด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี
ในส่วนของหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในรูปของเงินเยน แต่ถ้าปรับด้วยค่าเงินดอลลาร์แล้วแทบผลตอบแทนแทบไม่ไปไหน ทางด้านตลาดเวียดนามตอนนี้อยู่ใกล้ๆ กับช่วงก่อนโควิด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตอนนี้ต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว
ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบนั้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกไปแล้ว 20% รวมถึงทองคำที่ให้ผลตอบแทนมากถึง 25%
ในส่วนของมุมเศรษฐกิจมหภาค ชัยพร มองว่าขณะนี้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาถือว่าสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวของสหรัฐนั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 2-2.5% ทำให้เขามองว่าตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง
ทำให้ปี 2567 เขาคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเองก็จะลดลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมา หรือแม้แต่ต้นทุนทางการเงินจะเริ่มลดลง ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น ดีขึ้น ความกดดันด้านการเงินตอนนี้อาจอยู่ปลายทางแล้ว เขายังมองว่างบการเงินของบริษัทต่างๆ อาจกระทบบ้าง บริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่ต้องออกหุ้นกู้อาจประวิงเวลาออกไปได้ อาจใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารก่อน แล้วค่อยออกหุ้นกู้ทีหลัง
แต่ถ้าบริษัทที่มีหุ้นกู้อยู่ ชัยพรมองว่าบริษัทเหล่านี้อาจ Roll Over หุ้นกู้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 ปีเท่านั้น เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง บริษัทไม่อยากมีต้นทุนทางการเงินระยะยาวสูงมากๆ
ทางด้านของทวีปเอเชีย ธนาคารกลางแต่ละประเทศอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยที่ไวกว่า จากเหตุผลคือเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าขณะเดียวกันในภาพรวมทำในปี 2567 นั้นเขาค่อนข้างชอบ ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาที่อยู่ในทวีปเอเชีย (EM Asia) เนื่องจากมีกำไรของตลาดที่ดี และอาจทำให้ไทยได้ผลพลอยได้จากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาตรงนี้ด้วย
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ทาง บล. บัวหลวงคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 3.8% จากปีนี้ที่คาดไว้ 2.7% หากโครงการ Digital Wallet เกิดขึ้น แต่ถ้าหากโครงการนี้ไม่เกิดเศรษฐกิจไทยก็ยังคงเติบโต 3.2% ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีหน้านั้นจะลดลง และเขาคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังได้ 1 ครั้ง
ขณะที่หุ้นไทยในปี 2567 นั้น ประเมินเป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด โดยมองปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวมากขึ้น เช่น การเบิกจ่ายของภาครัฐ ความหวังของนโยบายรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากขึ้น และยังรวมถึงกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอาจเติบโตประมาณ 15% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
กลุ่มหุ้นไทยที่ บล. บัวหลวงแนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคารไทย กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้ผลดีจากค่า FT และต้นทุนการผลิตลดลง กลุ่มเกษตรแปรรูป รวมถึงกลุ่มค้าปลีก ที่ได้รับผลดีจากการบริโภคในประเทศ ขณะที่กลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ
โดยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 นั้น บล. บัวหลวง แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ อันดับ 1 คือ ตราสารหนี้สัดส่วน 43% มองเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลกแต่ต้องเป็นตราสารหนี้คุณภาพ เพราะแม้จะเห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยลดลง แต่ไม่ได้ลงเร็ว อันดับ 2 คือ ทองคำ สัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง อันดับ 3 คือ ตราสารทุน หรือหุ้น สัดส่วน 45% (หุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38%)