ปี 2023 นั้นอาจเป็นปีที่ไม่ค่อยดีมากนักสำหรับสตาร์ทอัพ เนื่องจากนักลงทุนสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าสตาร์ทอัพลดลงเกือบ 30% สาเหตุสำคัญคือต้นทุนทางการเงินจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI จะเป็นกลุ่มที่ดึงดูดเม็ดเงินก็ตาม
สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงรายงานข้อมูลจาก PitchBook ว่า เม็ดเงินของนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่อัดฉีดเข้าไปยังสตาร์ทอัพในปี 2023 นั้นลดลงมากถึงเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังได้รับความสนใจก็ตาม
เม็ดเงินลงทุนในสตาร์ทอัพที่นักลงทุนสหรัฐฯ ได้ใส่เงินลงไปในปี 2023 อยู่ที่ 170,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 242,00 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ในปี 2021 นั้นอยู่ที่ 348,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลจาก PitchBook ยังชี้ว่าในปี 2023 นั้นบริษัทร่วมลงทุน (VC) ได้มีการระดมทุนมากถึง 67,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากปี 2022 ถึง 60% ซึ่งเม็ดเงินระดมทุนดังกล่าวถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนนั้นลดลงอย่างรวดเร็วคือต้นทุนการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มสูงขึ้นจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นสูงเกิน 5%
ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่สูงในสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสตาร์ทอัพลดลงเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายสตาร์ทอัพต้องปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจสามารถเลี้ยงตัวเองได้ หรือแม้แต่มาตรการอย่างการปลดพนักงาน
อย่างไรก็ดีในปี 2023 นั้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ AI ซึ่งเป็นผลจากความโด่งดังของเจ้าของ ChatGPT อย่าง OpenAI เป็นผลทำให้เม็ดเงินนั้นยังเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยรายงานของ PitchBook ชี้ว่า 1 ใน 3 ของสตาร์ทอัพเหล่านี้นักลงทุนในสหรัฐอเมริกาได้หว่านเม็ดเงินลงทุนลงไปด้วย
โดยดีลที่ใหญ่ที่สุดในปี 2023 ของสตาร์ทอัพเกิดขึ้นกับบริษัทด้าน AI อย่าง OpenAI และ Anthropic ซึ่งเม็ดเงินที่ลงทุนใน 2 บริษัทดังกล่าวนี้คิดเป็น 10% ของการลงทุนรวมในสตาร์ทอัพของนักลงทุน