CEO ของ Under Armour เผย “บริษัทไม่ได้พยายามที่จะเป็นอย่างอื่น นอกจากเป็นตัวของตัวเอง” หลังดันคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตเพิ่มขึ้น

ภาพจาก Unsplash
CEO ของ อันเดอร์อาร์เมอร์ (Under Armour) ผู้ผลิตสินค้าเสื้อผ้ากีฬาและแฟชั่น ได้กล่าวถึงการผลักดันสินค้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตเพิ่มขึ้น โดยชี้ว่า “บริษัทไม่ได้พยายามที่จะเป็นอย่างอื่น นอกจากเป็นตัวของตัวเอง” และเตรียมผลิตเสื้อผ้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตสำหรับผู้หญิงด้วย

Stephanie Linnartz ประธานและ CEO ของ Under Armour ได้ตอบคำถามในการแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัท ที่วิเคราะห์ได้สอบถามเธอในเรื่องการผลักดันสินค้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตเพิ่มขึ้น รวมถึงทิศทางบริษัทหลังจากนี้

นักวิเคราะห์รายหนึ่งได้ถามถึงการผลักดันสินค้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตของบริษัท เช่น เสื้อที่มีรูปโลโก้บริษัทอันใหญ่โตว่าเป็นกลยุทธ์ดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ ซึ่ง CEO ของ Under Armour ได้กล่าวว่า “เราไม่ได้พยายามที่จะเป็นอย่างอื่นนอกจาก Under Armour อย่างแท้จริง และเรื่องของประสิทธิภาพอยู่ใน DNA ของเรา”

นอกจากนี้ ประธานและ CEO ของ Under Armour ยังได้กล่าวถึงสินค้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตว่าเป็นการบรรจบกันระหว่างสมรรถนะและสไตล์ และบริษัทเองกำลังมีแผนที่จะผลิตเสื้อผ้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ตสำหรับผู้หญิง ซึ่งต้องการการออกแบบที่ต้องดีมากกว่าเดิม

สำหรับ Stephanie เธอได้เข้ามาเป็นประธานและ CEO ของ Under Armour ในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา และเป็น CEO คนที่ 3 นับตั้งแต่บริษัทตั้งมา โดยเธอชี้ว่าโอกาสของบริษัทมีทั้ง รองเท้า สินค้าของผู้หญิง สินค้าคอลเลกชันสไตล์สปอร์ต โดยเธอต้องการที่จะวางจุดยืนของแบรนด์ในระดับพรีเมียมมากขึ้น และขยายความนิยมของแบรนด์เพิ่มมากขึ้น

Under Armour ประสบปัญหาลูกค้าสนใจในตัวแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาลดลงในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะวางจุดยืนของแบรนด์ในระดับพรีเมียมมากขึ้นก็ตาม นอกจากนี้แบรนด์ยังประสบปัญหาในการดึงจุดเด่น หรือเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภคไม่สนใจ

ไม่เพียงเท่านี้บริษัทเองยังเจอปัญหาสินค้าคงคลังที่เพิ่มมากขึ้นในปี 2023 ซึ่งเกิดขึ้นจากยอดขายที่อ่อนแอ แม้ว่าบริษัทจะกำลังแก้ปัญหาดังกล่าวอยู่ก็ตาม โดยปัญหาดังกล่าวได้กดดันราคาหุ้นของบริษัทในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา

ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา Under Armour ทำรายได้รวมอยู่ที่ 1,486 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรจากการดำเนินงาน 114.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 3,486 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 124,466 ล้านบาท