กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ชูกลยุทธ์ปี 2024 โดยเร่งขยายพอร์ตสินเชื่อ SME และลูกค้ารายย่อย รวมถึงบริษัทขนาดกลาง นอกจากนี้ทางกลุ่มยังตั้งเป้าเป็นแบงก์ขนาดกลางให้ได้ภายในปี 2030 โดยเน้นไปยังดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นหลัก
ผู้บริหารของทางกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้กล่าวถึงสภวาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2024 จะเติบโตราวๆ 3% แต่เรื่องท้าทายในปีนี้คือ เรื่องความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยังเห็นความไม่แน่นอนเยอะมาก และมีผลต่อนโยบายรัฐบาลหลายๆ ประเทศ และมีผลต่อราคาสินทรัพย์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการปรับดอกเบี้ย มองว่าเงินเฟ้อลดลง มองว่าสภาวะทางการเงินยังตึงตัวบ้างอยู่ แต่ดีกว่าปีที่แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจจีน สิ่งที่น่ากังวลคือภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจแดนมังกรไม่ค่อยดีนัก
ทางด้านเศรษฐกิจไทย คาดว่าปีนี้ GDP น่าจะเติบโตราวๆ 2% กว่าๆ การบริโภคเอกชนยังมองว่าไปได้ดี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคาดว่าจะอยู่ที่ราวๆ 34 ล้านคน เห็นภาพการส่งออกในเดือนมกราคมดีขึ้น และมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้พอไปได้
ฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ได้กล่าวถึงแผนกลยุทธ์ขององค์กรในปีที่ผ่านมาว่า ทาง LHFG ในปีที่ผ่านมาได้รายได้จากส่วนของธนาคารพาณิชย์มาช่วยไว้ เนื่องจากสภาวะของตลาดทุนที่ไม่ดีนักส่งผลทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงธุรกิจบริหารกองทุนยังทำได้ไม่ดีนัก
ขณะเดียวกัน LHFG ยังได้จับมือกับกลุ่ม BTS ที่สามารถเติมเงินบนบัตรแรบบิท บนแอป LHB You ได้ รวมถึงแอปการลงทุน Profita ซึ่งทำให้ขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น
ผลการดำเนินงานในปี 2023 ที่ผ่านมา LHFG มีกำไรสุทธิ 2,096 ล้านบาท เติบโต 32.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 โดยได้ประโยชน์จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2024 นั้น LHFG จะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่ม SME ที่มีศักยภาพ หรือกลุ่มลูกค้าบริษัทขนาดกลางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันพอร์ตลูกค้าเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 26% ของธนาคาร และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนให้ได้ 35% ในอนาคต
ขณะที่ค่าธรรมเนียมของธนาคารจะเน้นไปยังรายได้จากค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของลูกค้า ซึ่งถ้าหากการส่งออกของไทยเติบโต และยังรวมถึงการขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับลูกค้ากลุ่ม Wealth มากขึ้น ทำให้รายได้ส่วนนี้ก็จะเติบโตตามไปด้วย
นอกจากนี้กรรมการผู้จัดการของ LHFG ยังมองว่าลูกค้าบริษัทจากไต้หวันถือเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของกลุ่มด้วย และได้กล่าวถึงบริษัทไต้หวันมีการลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ในกรณีของนิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดปราจีนบุรีก็มีบริษัทไต้หวันมากขึ้น
ทางกลุ่มยังตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขของทางกลุ่มยังถือว่าตามหลังค่าเฉลี่ยสถาบันการเงินในไทยอยู่พอสมควร
กรรมการผู้จัดการของ LHFG ยังได้กล่าวว่า องค์กรยังได้ตั้งเป้าที่จะเป็นธนาคารขนาดกลางให้ได้ภายในปี 2030 โดยฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจะมาจากแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นหลักและรวมถึงการจับมือกับพันธมิตรต่างๆ