เพื่อโลกและอนาคต! “KAsset” ผนึกกำลัง “Lombard Odier” เสริมแกร่งศักยภาพผู้นำผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน


เมื่อการลงทุนต้องก้าวให้ทันกระแสด้านความยั่งยืน “KAsset” ผู้นำการลงทุนด้านความยั่งยืนมากว่า 10 ปี จึงเลือกจับมือกับ “Lombard Odier” ผู้เชี่ยวชาญการบริหารสินทรัพย์ระดับโลก เพื่อคัดเลือกและจัดสรรผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่ส่งเสริมด้านความยั่งยืน มุ่งเป้าตั้งกองทุน ESG มูลค่า AUM วมกว่า 30,000 ล้านบาทภายในปี 2569

“การลงทุนอย่างยั่งยืน” เป็นนโยบายที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset ให้ความสำคัญมาตั้งแต่ปี 2556 โดยเริ่มนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุน ถือเป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกสินทรัพย์และสร้างพอร์ตลงทุนของ KAsset

จนถึงปี 2564 KAsset มีการออก “กองทุน ESG” กองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองเป็น “กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน” (SRI Fund) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หลังจากนั้น SRI Fund ของ KAsset มีการเพิ่มจำนวนต่อมาจนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 7 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท สะท้อนภาพการดำเนินนโยบายการลงทุนอย่างยั่งยืนของ KAsset มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อ KAsset จะขยายตัวต่อในเส้นทางการลงทุนอย่างยั่งยืน “อดิศร เสริมชัยวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร KAsset จึงประกาศจับมือพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในด้านนี้คือ “Lombard Odier” ผู้นำด้านการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งระดับโลก เพื่อเข้ามาช่วยให้ความรู้และเป็นที่ปรึกษาในการจัดพอร์ตการลงทุนด้าน ESG ของ KAsset ที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต

(ซ้าย) “วินเซนต์ มาเนียนาต์” Limited Partner, Asia Regional Head and Global Head of Strategic Alliances, Lombard Odier และ (ขวา) “อดิศร เสริมชัยวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset

ทำไมต้องลงทุนเพื่อความยั่งยืน?

“วินเซนต์ มาเนียนาต์” Limited Partner, Asia Regional Head and Global Head of Strategic Alliances, Lombard Odier เป็นผู้อธิบายถึงประเด็นหลักว่า “ทำไมต้องลงทุนเพื่อความยั่งยืน?”

มาเนียนาต์ฉายภาพว่า Lombard Odier เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่อยู่ในธุรกิจมาได้นาน 227 ปี เพราะมีการ “Rethink” มองกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ และ Lombard Odier พบว่าในยุคนี้เมกะเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นคือ “CLIC Economy”

“CLIC Economy” หมายถึง เศรษฐกิจที่ตั้งมั่นอยู่บน 4 แนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ คือ

  1. Circular – ผลิตภัณฑ์สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้เพื่อลดขยะและลดการใช้ทรัพยากรโลก
  2. Lean – การผลิตที่สร้างประสิทธิภาพสูงสุดจากการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด
  3. Inclusive – ธุรกิจที่คำนึงถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน สิ่งแวดล้อม
  4. Clean – ธุรกิจที่มุ่งสู่ ‘Net-Zero Emission’ ลดและงดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม

มาเนียนาต์มองว่ากระแสเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมจากทุกภาคส่วน ทั้งฝั่งรัฐบาลที่จะเห็นได้ว่าวันนี้แต่ละประเทศมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงฝั่งผู้บริโภคเองก็รณรงค์ภาคประชาชนให้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม เช่น ลดใช้พลาสติก เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

นั่นทำให้กระแสนี้จะสร้าง “จุดตัด” ขึ้นในอนาคต บางบริษัทที่ไม่ได้มีการลงทุนหรือเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับกระแสด้านความยั่งยืนก็อาจจะ “อยู่ไม่รอด” ในที่สุด เพราะถูกกีดกันจากนโยบายรัฐหรือผู้บริโภคที่มีความตระหนักรู้มากขึ้น

“พูดให้ง่ายขึ้นคือ หากเราไปลงทุนในบริษัทที่ไม่ทันกระแสนี้ เช่น ไม่ลงทุนเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ดีต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นบริษัทรถยนต์ที่ไม่ส่งเสริมเทคโนโลยีอื่นนอกจากรถยนต์สันดาป อนาคตบริษัทเหล่านี้อาจถูกกีดกันทางการค้า และผู้ลงทุนจะเกิดความเสี่ยงจากการลงทุนผิดบริษัท” อดิศร แม่ทัพใหญ่ KAsset กล่าวเสริม


เลือกบริษัทที่ถูกต้องในกระแสความยั่งยืน

อดิศรย้ำว่า ความแตกต่างระหว่างบริษัทที่ลงทุนด้านความยั่งยืนกับที่ไม่ลงทุนอาจจะยังเห็นไม่ชัดในวันนี้ แต่ปัจจัยนี้จะมาถึงในวันข้างหน้า

นั่นทำให้ KAsset ต้องการเป็นผู้นำการสร้างผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่สอดคล้องกับกระแส แต่โจทย์ข้อต่อมาที่เกิดขึ้นคือต้อง “มองให้ออก” ว่าบริษัทใดที่เป็นตัวจริงด้านความยั่งยืน ทำให้ KAsset จับมือกับ Lombard Odier เพื่อใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ของ Lombard Odier ในการสร้างเกณฑ์และคัดเลือกบริษัทที่น่าลงทุนเพื่อคำนึงถึงความยั่งยืน

ทั้งนี้ เมื่อปี 2566 KAsset ได้ชิมลางออกกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ของ Lombard Odier ในการคัดกรองด้านความยั่งยืนเป็นกองทุนแรกคือ “กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-TNZ-ThaiESG)” มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) 1,400 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 1 มี.ค. 2567) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม SET100 TRI ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG และล่าสุดได้ออกกองทุน แตกเป็นประเภทสะสมมูลค่า หรือ K-TNZ-A(A) เพื่อโอกาสเติบโตระยะยาวไปกับบริษัทที่มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจนในดัชนี SET 100 TRI เช่นกัน

ทิศทางของ KAsset หลังจับมือกับ Lombard Odier ในด้านความยั่งยืน จะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ “กองทุน ESG” มากขึ้นอีก วางเป้ามี AUM ของกองทุน ESG รวมกว่า 30,000 ล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะคิดเป็นสัดส่วน 3% ของพอร์ตรวมของ KAsset

โดยจะเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการการลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีและมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคต


วางแผนดึงความสนใจทั้งนักลงทุนและบริษัท

KAsset ให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนในประเทศไทยยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับระดับโลกที่มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนคิดเป็นสัดส่วน 14% ของตลาดรวม และคาดว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 21% ภายใน 2 ปี

ดังนั้น KAsset จะส่งเสริมฝั่งผู้ประกอบการให้เปลี่ยนแปลงกระบวนการภายในบริษัทเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ทำให้เกิดตัวเลือกการลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาด รวมถึงจะสนับสนุนฝั่งนักลงทุนให้เห็นความสำคัญมากขึ้นกับการลงทุนในกองทุน ESG ที่จะช่วยทั้งปิดความเสี่ยงด้านการลงทุนในระยะยาวและได้เป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“เราอยากจะสร้างความต้องการมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุน ไม่จำเป็นต้องมีกองทุน ESG ครบ 100% ในพอร์ต แต่อยากจะฝากให้นักลงทุนเริ่มมีติดพอร์ตบ้าง เริ่มมามีจุดตั้งต้นด้วยกันกับ KAsset” อดิศรกล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://www.kasikornbank.com/k_3Ik3DfH