นอกจากนักเตะท็อปฟอร์ม หน้าตาดี และแฟนบอล จะเป็นทรัพย์สินสำคัญของทีมในสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแล้ว ในอีกมุมหนึ่งอาจกลายเป็นผลเสียได้
ทั้งนี้สาเหตุลที่คลาสสิคที่สุดและมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ คือกรณีนักเตะทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นฟาดแข้งนอกเกม หรือแฟนบอลตีกัน อย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นในเกมแดงเดือด เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ “หลุยส์ ซัวเรซ” สตาร์ของลิเวอร์พูล ปฎิเสธจับมือกับ “ปาทริซ เอวร่า” แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แถมยังหวิดตีกันระหว่างเดินในอุโมงค์ในสนาม ระหว่างพักครึ่งเกม จนกลายเป็นข่าวครึกโครมสนั่นออกนอกวงการกีฬา เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวว่าด้วยเรื่องการเหยียดสีผิว
แน่นอนว่าโลโก้ชื่อแบรนด์ Standard Chartered ที่ติดหราอยู่บนอกเสื้อ “ซัวเรซ” ต้องได้ผลกระทบ
สปอนเซอร์รายนี้ที่อังกฤษจึงออกแถลงการณ์ในทันทีว่าผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้คุยกับลิเวอร์พูลอย่างจริงจัง
แม้จะเป็นการแอ๊คชั่น แต่ก็ทำให้ชัดต่อสาธารณชนว่าสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ไม่อยากเล่นเกมเหยียดผิวกับนักเตะด้วย
ทั้งนี้สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เป็นสปอนเซอร์ของทีมลิเวอร์พูล โดยได้โลโก้บนอกเสื้อแข่ง นำแบรนด์ลิเวอร์พูลมาทำกิจกรรมทางการตลาด ด้วยค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 20 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ด้วยความหวังว่าจะสร้างแบรนด์และตลาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย
สถาบันการเงินกับพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
– “บาร์เคลย์ส อังกฤษ” เป็นสปอนเซอร์หลักของลีก โดยเป็น Naming Sponsor ในชื่อว่า บาร์เคลย์ส พรีเมียร์ ลีกอังกฤษ ด้วยงบประมาณ 82 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4,100 ล้านบาทตลอด 3 ฤดูกาล(ปี 2010-2013)
– AON เป็นบริษัทประกันของสหรัฐอเมริกา เป็นสปอนเซอร์ให้มีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ติดแบรนด์บนอกเสื้อนักเตะ นาน 3 ปี ด้วยค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 4,000 ล้านบาท
– Standard Charterd แบงก์อังกฤษที่ชนะธนาคารอเมริกัน ได้สิทธิ์เป็นสปอนเซอร์”ลิเวอร์พูล” ได้พื้นที่อกเสื้อนักเตะ 4 ปี มูลค่า 4,000 ล้านบาท
– “กรุงศรีอยุธยา ไทยกับแมนฯยู” ได้ลิขสิทธิ์นำแบรนด์แมนฯยูมาใช้ทำการตลาด บัตรเครดิตและบัตรเดบิต กรุงศรี-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นาน 3 ปี มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท