นับตั้งแต่ปี 2020 ที่ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดลง เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดินทางได้ตามต้องการ แต่หลังจากนั้นความต้องการใช้งานน้ำมันก็เติบโตขึ้นมาโดยตลอด จนมาปี 2024 นี้ ที่แนวโน้มการเติบโตของความต้องการน้ำมันอาจลดลงถึงครึ่งหนึ่ง
Rystad Energy บริษัทวิจัยอิสระด้านพลังงาน ประเมินว่า การเติบโตของดีมานด์น้ำมันทั่วโลกอาจ ลดลงครึ่งหนึ่ง ในปีนี้ โดยความต้องการมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 340,000 บาร์เรลต่อวัน (bpd) จากในปีที่ผ่านมามีการเติบโตที่ 700,000 บาร์เรลต่อวัน โดยรวมแล้วปีนี้ทั่วโลกจะมีการใช้น้ำมันที่ 26.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปัจจัยที่ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงมาจากผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสำคัญอย่าง จีน และ สหรัฐอเมริกา โดยมีการประเมินถึงสัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในปีนี้ว่าจีนจะอยู่ที่ 45% ยุโรป 25% และมากกว่า 11% ในสหรัฐอเมริกา
สํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ครั้งหนึ่งจีนเคยเป็นตัวขับเคลื่อนความต้องการน้ำมันเบนซินของโลก แต่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถอีวีเกือบ 60% มาจากประเทศจีน ทำให้ปีนี้ Sinopec หน่วยงานวิจัยของโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของจีน คาดว่าความต้องการน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.7% หรือประมาณ 3 ล้านตัน รวมทั้งปีอยู่ที่ 182 ล้านตัน
“ความต้องการใช้น้ำมันของจีนจะเติบโตเพียง 10,000 บาร์เรลต่อวัน ในปีนี้ เนื่องจากการเติบโตของรถอีวี” Sushant Gupta นักวิเคราะห์จาก Wood Mackenzie กล่าว
ด้านปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินของ สหรัฐฯ ในปี 2023 ลดลงเหลือประมาณ 8.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ความต้องการในปี 2024 คาดว่าจะทรงตัว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการบริโภคน้ำมันเบนซินของ ยุโรป ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 50,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 2.3% เป็น 2.19 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การบริโภคน้ำมันของ อินเดีย อาจจะแตะสถิติใหม่ที่ 908,000 บาร์เรลต่อวัน ในปีถึงเดือนมีนาคม 2025 เพิ่มขึ้นประมาณ 5%