อดีต CEO ของ Google มองว่า “สหรัฐฯ เหนือกว่าจีนด้าน AI” และยังเผยว่า “เคยพิจารณาซื้อกิจการ TikTok มาแล้ว”

ภาพจาก Shutterstock
อีริค ชมิดท์ (Eric Schmidt) อดีต CEO ของ Google และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 47 ของโลกได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bloomberg โดยเขาได้เผยว่าเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok มาแล้ว ขณะเดียวกันเขายังมองว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นสหรัฐฯ ยังนำหน้าจีน 2-3 ปี

Eric Schmidt ซึ่งเป็นอดีต CEO ของ Google ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bloomberg ว่า ตัวเขาเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นจาก ByteDance บริษัทแม่มาแล้ว และเขายังมองว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวนั้นเหมือนกับโทรทัศน์มากกว่าบริการเครือข่ายทางสังคมด้วยซ้ำ

อดีต CEO ของ Google ได้เปิดเผยว่ากับสื่อรายดังกล่าวว่า ในจุดนึงเขาเคยพิจารณาที่จะซื้อกิจการของ TikTok มาแล้ว แม้ว่าปัจจุบันเขาเองจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก็ตาม

ขณะเดียวกันเขาเองก็มองว่า TikTok เองนั้นควรจะถูกรัฐบาลสหรัฐกำกับดูแลมากกว่าที่จะใช้วิธีการแบน และเขายังมองว่าแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นนั้นคล้ายคลึงกับโทรทัศน์มากกว่า รัฐบาลสหรัฐสามารถมีกฎหมายกำกับแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้ได้เช่น การให้เสรีภาพแก่นักการเมืองแต่มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาในการออกอากาศ

ในช่วงที่ผ่านมามีแรงกดดันจากสภาของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ขายกิจการออกมา สาเหตุสำคัญนั้นมาจากเรื่องของความมั่นคงเป็นหลัก รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลประชาชนชาวสหรัฐฯ​ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเรื่องภัยความมั่นคง

กฎหมายที่กำลังจะออกมานั้นเตรียมให้ TikTok เตรียมตัวที่จะขายกิจการภายใน 1 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าบริษัทนั้นอาจไม่ขายกิจการแต่ยอมโดนแบนในสหรัฐอเมริกาไปเลยมากกว่า หรือไม่ก็มีการขายกิจการแต่ไม่ขายเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่างระบบอัลกอริทึ่มในการเลือกวิดีโอ

ขณะที่ในเรื่องของเทคโนโลยีนั้น อดีต CEO ของ Google ให้มุมมองว่าสหรัฐอเมริกายังมีเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) นำหน้าประเทศจีนอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม้ว่าในมุมส่วนตัวของเขานั้นมองว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนำหน้าตราบชั่วนิรันดร์

ทางด้านของประเทศจีนเขามองว่าในเรื่องเทคโนโลยี AI จีนกำลังดิ้นรนอย่างหนัก แต่ปัญหาก็คือการขาดแคลนด้านเซมิคอนดักเตอร์ แต่จีนถ้าหากมีอุปกรณ์ที่พร้อมก็สามารถที่จะชนะในเรื่องดังกล่าวได้เช่นกัน

ในส่วนของทวีปยุโรป Eric กลับมองว่าการกำกับดูแลของสหภาพยุโรปเองนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบด้าน AI นั้นทำให้นวัตกรรมดังกล่าวพัฒนาได้ช้า