‘มาเลเซีย’ แซง ‘ไทย’ ขึ้นแท่นตลาดรถยนต์เบอร์ 2 ของภูมิภาค หลังแบงก์คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ

หลังสัญญาณหนี้เสีย-หนี้ค้างชำระพุ่งไม่หยุด ทั้ง บ้าน-รถยนต์ ส่งผลให้ ธนาคาร คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยช่วงไตรมาสแรกหดตัวถึง 25% ส่งผลให้ไทย ไม่ใช่ประเทศที่มีขนาดตลาดรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอีกต่อไป

จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ มาเลเซีย ได้แซงหน้าไทยขึ้นเป็น ตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยมาเลเซียสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าไทยต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน จนถึงเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ขณะที่ยอดขายรถยนต์ของไทยปรับตัว ลดลง 25% ในไตรมาสแรก

จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย รายงานว่า ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น +5% ในไตรมาสแรกจากปีก่อนหน้าเป็น 202,245 คัน หลังจากที่ปี 2566 เติบโตขึ้น +11% เป็นจำนวน 799,731 คัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ของมาเลเซียเติบโตก็คือ การยกเว้นภาษีการขายสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้แบรนด์รถยนต์ของชาติอย่าง Perodua และ Proton ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60%

สำหรับมาตรการยกเว้นภาษีนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี ​​2565 แต่ยอดขายรถยนต์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามคำสั่งซื้อก่อนหน้านั้นส่งผลดีต่อตัวเลขในปี 2567 อีกทั้งยังมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันกันสูง ก็ยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ตาม สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียคาดว่ายอดขายรถยนต์รวมจะ ลดลง 7.5% ในปีนี้ แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดและรถอีวีคาดว่าจะเติบโตก็ตาม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง เพราะความกังวลเกี่ยวกับ ค่าครองชีพที่สูง และอัตราภาษีบริการที่สูงขึ้นสำหรับบริการบางอย่าง เช่น การซ่อมแซมและบำรุงรักษายานยนต์

ส่วนไทยที่ครองตำแหน่งเบอร์ 2 มานานกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เนื่องจากปัญหา หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อทั้งบ้านและรถยนต์ เพราะกังวลถึงปัญหาหนี้เสีย โดยจากข้อมูลเครดิตบูโรรายงานว่า ในช่วงปี 2566 ไทยมีปัญหาหนี้เสียสินเชื่อรถยนต์ 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +28% จากปี 2565

ด้าน อินโดนีเซีย ช่วงไตรมาสแรกตลาดหดตัว 24% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ โดยในปี 2566 ตลาดหดตัว 4% มียอดสะสมกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 ที่ 3 หมื่นคัน

ส่วนยอดขายรถยนต์ใน เวียดนาม ลดลง 16% ในไตรมาสแรก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศซบเซาตั้งแต่ปีที่แล้ว และแม้ว่าความต้องการจะพุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคมก่อนที่การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะหมดอายุ แต่ตัวเลขยอดขายกลับลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์

ในขณะเดียวกัน ตัวเลขใน ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น +13% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงที่สุดใน 5 ประเทศ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือประมาณ 4% ในช่วงปลายปี 2566

Source