จัดอันดับ 10 “เมืองน่าอยู่” ที่สุดในโลกปี 2024 “เวียนนา” คว้าแชมป์ต่อเนื่อง “โอซาก้า” ติดที่ 9

เมือง Expat
เวียนนา ประเทศออสเตรีย (Photo: Shutterstock)
EIU เปิดผลสำรวจดัชนี “เมืองน่าอยู่” ที่สุดในโลกปี 2024 “เวียนนา” เมืองหลวงออสเตรียยังคว้าแชมป์ต่อเนื่อง “โอซาก้า” ติดอันดับ 9 ปีนี้หลายเมืองในเอเชียแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, โฮจิมินห์ ซิตี้ ทำคะแนนดีขึ้นมาก ขณะที่ยุโรปตะวันตกคะแนนร่วงเพราะปัญหาการประท้วง แคนาดาออสเตรเลียเผชิญปัญหาราคาบ้านพุ่งทะยาน

การสำรวจ ดัชนี “เมืองน่าอยู่” มากที่สุดในโลก (Global Livability Index) โดย EIU (The Economist Intelligence Unit) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสำรวจใน 173 เมืองทั่วโลก และคำนวณจากปัจจัย 5 หัวข้อหลัก ได้แก่

  • เสถียรภาพและความมั่นคงในชีวิตเช่น อัตราอาชญากรรม, ความเสี่ยงจากสงคราม, ความขัดแย้งทางการทหาร
  • สาธารณสุขเช่น ระบบสาธารณสุขของรัฐ, ระบบสาธารณสุขเอกชน, การเข้าถึงยาผ่านร้านขายยา
  • วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเช่น ภูมิอากาศ, อัตราการคอร์รัปชัน, ข้อบังคับทางสังคมหรือศาสนา, การเข้าถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมและกีฬา, อาหารและเครื่องดื่ม
  • การศึกษาเช่น ระบบการศึกษาของรัฐ, ระบบการศึกษาของเอกชน
  • โครงสร้างพื้นฐานเช่น คุณภาพของถนน, คุณภาพขนส่งมวลชน, คุณภาพบ้านพักอาศัย, คุณภาพประปา ไฟฟ้า และโทรคมนาคม

จากปัจจัยดังกล่าวที่ EIU ได้ประเมิน 10 อันดับแรก “เมืองน่าอยู่” มากที่สุดในโลก ปี 2024 ได้แก่

อันดับ 1 เวียนนา ประเทศออสเตรีย
อันดับ 2 โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
อันดับ 3 ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อันดับ 4 เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
อันดับ 5 (ร่วม) คัลการี ประเทศแคนาดา
อันดับ 5 (ร่วม) เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อันดับ 7 (ร่วม) ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
อันดับ 7 (ร่วม) แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา
อันดับ 9 (ร่วม) โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
อันดับ 9 (ร่วม) โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์

Photo : Shutterstock

ปัญหา “ประท้วง” ดึงคะแนนยุโรปตะวันตก

ไฮไลต์จาก EIU ปีนี้พบว่า ภาพรวมภูมิภาคที่เมืองโดยเฉลี่ยน่าอยู่ที่สุดในโลกยังคงเป็น “ยุโรปตะวันตก” อย่างไรก็ตาม มีหลายเมืองที่เริ่มเสียคะแนนเพราะปัญหาด้านเสถียรภาพ การประท้วงจำนวนมากดึงคะแนนในเยอรมนี ไอร์แลนด์ และเบลเยียมลงมามาก มีถึง 3 เมืองในเยอรมนีที่อันดับร่วงลงแรง ได้แก่ มิวนิค ฮัมบูร์ก และสตุ๊ตการ์ต

ขณะที่ภูมิภาคที่น่าอยู่รองลงมาคือ “อเมริกาเหนือ” แต่มีบางเมืองชั้นนำที่เสียคะแนนเพราะปัญหา “ราคาบ้าน” พุ่งทะยานขึ้นจนเอื้อมถึงยาก เช่น โตรอนโต แคนาดา ซึ่งปัญหาเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับเมืองหลักในออสเตรเลีย คือ ซิดนีย์ และ เมลเบิร์น ด้วย ทำให้ทั้งสองเมืองอันดับตกลงมาแม้ว่าจะยังติดอยู่ในระดับ Top 10

 

ฮ่องกง-สิงคโปร์-โฮจิมินห์ ซิตี้ ทำอันดับพุ่งขึ้น

ด้านกลุ่มเมืองที่ทำคะแนนดีขึ้นและอันดับพุ่งขึ้นสูงมากที่สุดในรอบนี้ต้องจับตาทวีปเอเชียแปซิฟิก โดยมีเมืองที่มาแรงที่สุดคือ “ฮ่องกง” ปีนี้อยู่ในอันดับ 50 ของโลก ปรับขึ้นมาถึง 11 อันดับ ซึ่งเกิดจากการกลับมาควบคุมเสถียรภาพทางการเมืองได้ และสาธารณสุขที่ดีขึ้นหลังผ่านโควิด-19

Hong Kong skyline cityscape downtown skyscrapers over Victoria Harbour in the evening with junk tourist ferry boat on sunset with dramatic sky. Hong Kong, China

ขณะที่ “สิงคโปร์” ก็ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 26 ปรับขึ้นมา 8 อันดับ รวมถึง “โฮจิมินห์ ซิตี้” ของเวียดนามก็ขึ้นมาอยู่อันดับ 133 ของโลก ปรับขึ้นมาทีเดียว 7 อันดับ ทั้งสองมีจุดร่วมคือการปรับระบบสาธารณสุขและการศึกษาให้ดีขึ้น

ส่วนเมืองที่ทำอันดับตกต่ำร่วงลงแรงที่สุดหนีไม่พ้น “เทล อาวีฟ” เมืองหลวงของอิสราเอล จากการทำสงครามทำให้ความน่าอยู่ของเมืองตกไปอยู่อันดับ 112 ร่วงลงทีเดียว 20 อันดับ

สรุปของ EIU ระบุว่า ปีนี้ค่าเฉลี่ยเมืองน่าอยู่ทั่วโลกอยู่ที่ 76.1 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ปรับดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยเท่านั้น เพราะทั่วโลกได้รับผลกระทบด้านภูมิรัฐศาสตร์ และหลายเมืองเกิดการประท้วง รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจยังทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาบ้านพุ่งสูงในหลายเมือง ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้ความน่าอยู่ของเมืองไม่ดีขึ้นในเร็วๆ นี้

Source