อย่างที่รู้กันว่า อาร์เอส (RS) ในยุคใหม่ แม้จะกลับมาทำธุรกิจเพลงอีกครั้ง แต่ธุรกิจที่โดดเด่นในช่วงหลัง ๆ มาก็คือ คอมเมิร์ซ หรือก็คือฝั่งของ RS LiveWell อาทิ แบรนด์ well u, Vitanature+, Lifemate และ Camu C แต่ล่าสุด บริษัทได้เพิ่มแบรนด์ใหม่อีก 3 แบรนด์ และย้ำถึงการใช้กลยุทธ์ Content to Commerce ในแบบอาร์เอสจะเป็นอย่างไร
เปิด 3 แบรนด์ใหม่ให้คลุมทุกกลุ่มสินค้า
หากพูดถึงการขายของแล้ว ใครที่มีทรัพยากรอย่าง ช่องทาง การจำหน่ายและ อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปินคนดังในมือก็ถือว่าได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว คำถามคือ จะหยิบจับทรัพยากรมาเปลี่ยนเป็นสินค้าอย่างไร ซึ่ง อาร์เอส ก็ได้แตกกลยุทธ์ Content to Commerce ไว้ 3 รูปแบบ ผ่าน 3 แบรนด์ ได้แก่
- ปากท้อง
- bbooty
- TellmeDarling by Daring&Co.
“เราพยายามให้เฮาส์แบรนด์ครอบคลุมอยู่ในหลายกลุ่มสินค้า เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ซึ่งเรามีแต้มต่อคือ แพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น RS Mall และ ULife รวมถึงมีฟูลฟิลเมนต์กับซัพพลายเชนของตัวเอง” กุ้ง – พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด กล่าว
น้ำพริกปากท้อง กับการ Co-Brand ธุรกิจในเครือ
สำหรับกลยุทธ์ Strategic Partnerships จะเป็นการ Co-Brand ระหว่างธุรกิจในเครือ โดยบริษัทเลือกจะหยิบรายการ ปากท้องต้องรู้ ดูแล้วร้วยรวย รายการวาไรตี้เกี่ยวกับการนำเสนอนวัตกรรมของ SME รายย่อย ที่ฉายทางช่อง 8 ซึ่งมีกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่นกว่า 10 ล้านราย จนสามารถจัดงาน ปากท้องต้องรู้แฟร์ เพื่อเชื่อมระหว่างผู้ชมและ SME มาต่อเนื่อง 3 ปี
ด้วยกลุ่มฐานลูกค้าที่มี อาร์เอสจึงเริ่มดึงพิธีกรอย่าง เอ ไชยา-แป้ง ศรันฉัตร์ มิตรชัย ร่วมเป็นเจ้าของและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันจนเป็นแบรนด์ น้ำพริกปากท้อง โดยมีทั้งหมด 3 สูตร เพื่อเจาะ ตลาดน้ำซอสปรุงรสและน้ำพริก ในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มูลค่าถึง 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต +8%
“เรามองว่าตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่และยังไม่มีผู้เล่นหลักที่ครองตลาดชัดเจน เราจึงกล้าเข้ามา และเริ่มจากน้ำพริกที่เป็นของแห้ง ทำให้สามารถเก็บได้นาน สามารถควบคุมคุณภาพได้ง่าย แต่อนาคตจะมีสินค้าอื่น ๆ แน่นอน” โบว์ – วรัญญา ราชพลสิทธิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จำกัด อธิบาย
จับใบเตย เดินตาม ริฮานน่า
อีกกลยุทธ์ก็คือ Star Commerce โดยเห็นต้นแบบอย่าง ริฮานน่า (Rihanna) นักร้องชื่อดังระดับโลกที่ก่อตั้งแบรนด์ Fenty Beauty ดังนั้น อาร์เอสจึงต้องการศิลปินที่มี Earned Media ที่แข็งแรง และต้องมี แพชชั่น เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เพื่อมาเป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์
โดยอาร์เอสเลือกจะดึง ใบเตย อาร์สยาม มาร่วมเป็นเจ้าของแบรนด์ bbooty เพื่อเจาะตลาด เครื่องสำอาง (Color Cosmetics) ที่มีมูลค่าถึง 20,087 ล้านบาท และเติบโตได้ถึง +33% และยังมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่มประเภท Facial Makeup และ Lip Products
สาเหตุที่เป็น ใบเตย อาร์สยาม เพราะจากจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่า 6.5 ล้านบัญชี และส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-35 ปี ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ นอกจากนี้ ใบเตยยังมี แพชชั่นที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงาม อีกด้วย
“หลายคนคงมีคำถามว่าทำไมต้องเป็นใบเตย แต่เราเชื่อในการให้โอกาส และการมีคนพูดถึง ถือว่าดีกว่าไม่มีใครพูดถึง ซึ่งโมเดลนี้เราจะแบ่งรายได้กับศิลปินตามแต่ละช่องทางที่ตกลงกัน ซึ่งถือเป็นการช่วยสร้างรายได้อีกทางให้ศิลปิน” พรพรรณ อธิบาย
ดึง Tellme ทำ Brand Collaborations
กลยุทธ์สุดท้าย Brand Collaborations โดยใช้จุดแข็งของตัวเองรวมกับจุดแข็งของพาร์ทเนอร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้กับแบรนด์ ซึ่งอาร์เอสได้ร่วมกับแบรนด์ Tellme ที่กำลังต้องการ รีแบรนด์ให้เด็กลง ส่วนอาร์เอสมีแบรนด์ Daring&Co. ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารเสริมจับกลุ่มวัยรุ่น Gen Z จึงได้ร่วมกันทำแบรนด์ TellmeDarling by Daring&Co. ออกแป้งทาหน้าในกลุ่มของ Facial Makeup ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าราว 5,131.3 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8.4%
นอกจากนี้ อาร์เอสจะใช้กลยุทธ์ Music Marketing โดยออกเพลง Tellme Darling โดยได้ เบิ้ล ปทุมราช – ลำไย ไหทองคำ เป็นผู้ขับร้อง เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้ชื่อแบรนด์หรือชื่อสินค้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้ฟัง เพื่อสร้าง Brand Awareness นอกจากนี้ ยังมีแผนจะทำการตลาดครบ 360 องศา ทั้งออนไลน์ และออนกราวด์
“ที่เราจับมือกับ Tellme เพราะเราอยากได้แบรนด์ที่เป็นตำนาน และจุดเด่นของ Tellme คือ การผลิตแป้งและช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งเราก็จะไปช่วยเขาในด้านมาร์เก็ตติ้ง เขาก็ไม่ต้องลงทุนตรงนี้ ส่วนเราก็ไม่ต้องลงทุนผลิตสินค้าเอง”
ไม่หวั่นพิษศก. มั่นใจคุณภาพ
แม้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่ดี ขณะที่สถานะด้านการเมืองก็ยัง ไม่มั่นคง แต่ พรพรรณ เชื่อว่า บริษัทมีความ ยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยง และทั้ง 3 แบรนด์ที่ออกใหม่ก็มีการบริหารความเสี่ยงตั้งแต่แรก นอกจากนี้ สินค้าทั้ง 3 แบรนด์ยังเน้นที่ คุณภาพ เพื่อลบภาพของ แบรนด์ดารามาแล้วไป
“ทุกธุรกิจเราคิดเรื่องความเสี่ยงแล้ว และมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเราเชื่อว่าเรามีความเสี่ยงน้อยกว่าทุก ๆ คน และสินค้าที่เราทำ ไม่ใช่สินค้าที่ ผู้บริโภคกล้าเสี่ยงกับของถูก ดังนั้น เราไม่กังวลเรื่องจีน เพราะเราเน้นเรื่องคุณภาพ ฟังก์ชันนอล เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ได้ต้องการเป็นแค่แบรนด์ของดารา”
วางเป้าโกย 1 พันล้าน พร้อมขยายไปตปท.
คาดการณ์สัดส่วนรายได้ของธุรกิจคอมเมิร์ซในปี 2567 อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
- รายได้จากทั้ง 3 แบรนด์ใหม่ คาดว่าจะอยู่ที่ 250 ล้านบาท
- รายได้จากแบรนด์สินค้าอื่นๆ ของ RS LiveWell ประมาณ 750 ล้านบาท
โดยอีกโอกาสที่อาร์เอสมองก็คือ โมเดิร์นเทรด และบิวตี้สโตร์ รวมถึงการขยายไป ตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มในกลุ่มประเทศ CLMV ปัจจุบันอาร์เอสได้รุกตลาดต่างประเทศแล้วก็คือ ฟิลิปปินส์ โดยปัจจุบัน รายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5-10% ของรายได้ฝั่งคอมเมิร์ซ
“เราอยากจะเน้นช่องทางตัวเอง แต่วางแผนจะเข้าออฟไลน์และต่างประเทศแล้ว เช่น โมเดิร์นเทรด และบิวตี้สโตร์ ซึ่งปัจจุบันตลาดฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่มีโอกาสมาก เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นนิวเจน อยู่ในช่วงขาขึ้น และการบริโภคใกล้เคียงเรา นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังไม่ผลิตสินค้าเอง เน้นบริโภคซึ่งไทยมี OEM ที่คุณภาพดี” พรพรรณ ทิ้งท้าย