รู้จัก “Departure” แบรนด์น้องใหม่เบื้องหลัง “กระเป๋าเดินทาง” ลายธงชาติของ “Team Thailand”

กระเป๋าเดินทาง Departure
หลายคนน่าจะเคยผ่านตา “กระเป๋าเดินทาง” ลายธงชาติที่เหล่านักกีฬาและบุคลากรทีมชาติไทยใช้เพื่อไปทำการแข่งขัน “โอลิมปิก 2024” กระเป๋าเหล่านั้นเป็นคอลเล็กชันพิเศษที่ “Departure” ออกแบบให้นักกีฬาภายใต้แคมเปญ “Team Thailand” และถือเป็นแคมเปญใหญ่ครั้งแรกเพื่อเปิดตัวแบรนด์เข้าสู่ประเทศไทย

“ตอนนี้ถ้ามีคนไทย 10 คน อาจจะยังไม่มีสักคนที่รู้จักแบรนด์ของเรา แต่เราจะทำเต็มที่ พร้อมทุ่มงบการตลาดเพื่อให้คนรู้จัก” ลีออน วู Managing Director ประจำประเทศไทยของแบรนด์ Departure กล่าวยอมรับตรงๆ ในฐานะแบรนด์น้องใหม่ในตลาดกระเป๋าเดินทาง

แบรนด์ Departure ถือกำเนิดขึ้นในไต้หวันเมื่อปี 2011 และเพิ่งจะเข้ามาเปิดช็อปครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2020 โชคไม่ดีที่เป็นช่วงเกิดโรคระบาดพอดี ทำให้มิติด้านการตลาดของแบรนด์ต้องชะงักไปพร้อมๆ กับการจำกัดการเดินทางทั่วโลก

Departure
กระเป๋าเดินทาง Team Thailand

แต่ปีนี้แบรนด์ Departure กลับมาใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่แล้วเมื่อตลาดท่องเที่ยวกลับสู่ขาขึ้น ประเดิมด้วยแคมเปญใหญ่ “Team Thailand” ดังกล่าว โดยลีออนบอกว่า หลังจากเปิดตัวออกไปถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี 99.5% ของกลุ่มสำรวจมองว่ากระเป๋าดูดี ทำให้คนไทยให้ความสนใจแบรนด์มากขึ้น และบางส่วนตามไปซื้อกระเป๋ารุ่นพิเศษ Team Thailand ด้วย

แม้ว่าในฐานะแบรนด์กระเป๋าเดินทางจะเป็นหน้าใหม่ในตลาด แต่ที่จริงแล้วบริษัทแม่ของ Departure คือ “Hersun” เป็นบริษัทเก่าแก่ในวงการ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1989 ในฐานะผู้รับจ้างผลิตคันชักและล้อกระเป๋าเดินทาง มีฐานผลิตทั้งในไต้หวัน จีน และไทย

Departureลีออนกล่าวว่า Hersun รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์กระเป๋าเดินทางระดับลักชัวรีมานาน ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดแบรนด์ของตนเองเพื่อนำความเชี่ยวชาญมาเจาะตลาดกลางบน แต่ใช้คุณภาพวัสดุระดับเดียวกับกลุ่มกระเป๋าลักชัวรี

“วัสดุและคุณภาพ” จึงเป็นจุดขายสำคัญของ Departure ลีออนระบุว่าด้วยความมั่นใจในวัสดุ ทำให้แบรนด์กล้า “รับประกัน” เปลี่ยนกระเป๋าใบใหม่ให้ฟรีหากกระเป๋าแตกภายใน 1 ปี และซ่อมล้อและคันชักให้ฟรีหากแตกหักเสียหายภายใน 5 ปี ซึ่งเขามองว่าเป็นการรับประกันที่ให้มากกว่า เพราะแบรนด์อื่นๆ แม้จะมีรับประกันการซ่อมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

 

เมืองไทยเมืองแห่ง “แฟชั่น”

การมาเปิดสาขาในเมืองไทยของ Departure เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เพราะไทยเป็นประเทศแรกนอกไต้หวันที่แบรนด์ตัดสินใจเปิดช็อปและลงทุนทำตลาดอย่างเป็นทางการ

กระเป๋าเดินทางลีออนกล่าวว่า มี 2 เหตุผลใหญ่ๆ ที่ทำให้ Departure เลือกเมืองไทย

เรื่องแรกคือ คนไทยขึ้นชื่อเรื่อง “แฟชั่น” เป็นคนมีสไตล์ รักการแต่งตัว ชอบความแปลกใหม่ ทำให้การเปิดแบรนด์ใหม่ในเมืองไทยจะมีโอกาสมากกว่าไปประเทศอื่นที่อาจจะไม่ตามแฟชั่นมากนักและไม่เปิดใจกับแบรนด์ใหม่

“เท่าที่ทำตลาดมาเราพบว่าคนไทยต่างจากชาติอื่นในแง่แฟชั่น คนไทยมองว่า ‘ความสวยต้องมาก่อน’ แล้วค่อยตามด้วยฟังก์ชันใช้งาน ความทนทาน และการรับประกัน” ลีออนกล่าว “คนไทยยังพร้อมที่จะจ่ายมากกว่าให้สินค้าไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างมีราคาแบบนี้ หลายคนกล้าซื้อออนไลน์เลยโดยที่ไม่เคยมาดูของจริงที่ช็อปก่อน ซึ่งต่างจากที่ไต้หวันมากๆ”

Departureเรื่องที่สองที่ Departure เลือกเมืองไทย เพราะ “ไทยคือฮับการท่องเที่ยว” เป็นประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้แบรนด์มีโอกาสเข้าถึงชาวต่างชาติอื่นๆ ด้วย รวมถึงบรรยากาศที่เป็นสากลจะช่วยยกระดับแบรนด์

“เราต้องการวางให้ไทยเป็นฮับของเราในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนี้จะมีการขยายไปอีก 2 ประเทศคือ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย เร็วๆ นี้” ลีออนกล่าว

กระเป๋าเดินทาง
สโตร์ของ Departure สาขาเอ็มสเฟียร์

ปัจจุบัน Departure มีสโตร์ 2 สาขาในไทย คือ สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 และ สาขาเอ็มสเฟียร์ และภายในปี 2024 คาดว่าจะเปิดสโตร์เพิ่มอีก 2 สาขาในกรุงเทพฯ

ด้านราคาขายกระเป๋าเดินทาง Departure ใบเล็กขนาด carry-on จะเริ่มที่ประมาณ 8,000 บาท และสูงสุดเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบละกว่า 20,000 บาท ด้วยราคานี้ทำให้แบรนด์จะต้องชนกับ ‘Samsonite’ ที่เป็นผู้นำตลาดมานาน

 

ทำตลาดด้วยการ “คอลแลป” และ “Personalization”

ด้วยตลาด “กระเป๋าเดินทาง” ในไทยที่นับว่า ‘แน่นมาก’ มีผู้เล่นใหญ่หลายรายเข้ามาชิงตลาดกันครบ ทำให้ลีออนมองว่า การจะทำตลาดให้คนไทยรู้จัก มองเห็นบ่อยๆ ต้องอาศัยการ ‘คอลแลป’ กับแบรนด์หรือสินค้าอื่นๆ ยกตัวอย่าง Team Thailand ก็มองว่าเป็นการคอลแลปรูปแบบหนึ่งเพราะข้ามไปสู่วงการกีฬา

หลังจากนี้น่าจะได้เห็น Departure คอลแลปกับสินค้าอื่นอีกหลายวงการเพื่อกระจายการรับรู้ไปในหลายๆ กลุ่ม โดยลีออนแย้มว่าขณะนี้กำลังพูดคุยกับแบรนด์ในวงการสินค้า “ลักชัวรี” และวงการ “รีไซเคิล” อยู่เพื่อจะทำคอลแลปโปรเจ็กต์

ลีออน วู Managing Director ประจำประเทศไทยของแบรนด์ Departure

ส่วนการพัฒนาสินค้าของ Departure ลีออนบอกว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ให้ลูกค้าสามารถ “Personalization” กระเป๋าเดินทางได้ สามารถเลือกจับคู่สีตัวกระเป๋า คันชัก และล้อเองได้ เป็นระบบพรีออเดอร์ที่ใช้เวลาไม่นานและเพิ่มราคาไม่มากเพราะบริษัทแม่มีโรงงานผลิตที่ไทย

“เราจะเปิดระบบ Personalization ที่แรกที่เมืองไทย เพราะอย่างที่บอกว่าคนไทยเป็นคนแฟชั่น ต้องการมีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล เราจึงมองว่าเหมาะที่จะเปิดตลาดที่นี่” ลีออนกล่าว “เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในกลุ่มกระเป๋าเดินทางลักชัวรี แต่สำหรับตลาดกลางบน เราเชื่อว่าเราจะเป็นเจ้าแรก”

ลีออนทิ้งท้ายว่า Departure ต้องการจะมาเป็นตัวเลือกสินค้าที่เด่นทั้งด้านคุณภาพและเรื่องการดีไซน์ ซึ่งแบรนด์นิยามตัวเองว่าเป็นแบรนด์สไตล์มินิมอล เหมาะสำหรับทุกคนที่รักการเดินทาง