“ศุภาลัย” ไปต่อใน “ออสเตรเลีย” จ่อลงทุนเทกโอเวอร์ 12 โครงการ มูลค่ากว่า 1.37 แสนล้านบาท

ศุภาลัย ออสเตรเลีย
โครงการ Balmoral Quay เมืองจีลอง รัฐวิคตอเรีย โครงการแรกที่ศุภาลัยเริ่มการลงทุนในออสเตรเลีย
  • หลังลงทุนใน “ออสเตรเลีย”​ มานานกว่า 10 ปี “ศุภาลัย” จ่อลงทุนลอตใหญ่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ “Stockland” เทกโอเวอร์รวดเดียว 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 137,700 ล้านบาท
  • ชี้ตลาดออสเตรเลียปัจจุบันได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับในเมืองไทย แนะรัฐบาลไทยผ่อนเกณฑ์ LTV สำหรับบ้านหลังที่สอง กระตุ้นอสังหาฯ ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท

“ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม” Director of Supalai Australia Holdings Pty Ltd เปิดเผยถึงการลงทุนของ บมจ.ศุภาลัย ในประเทศ “ออสเตรเลีย” ว่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการรวม 12 โครงการ โดยใช้เม็ดเงินลงทุนไปแล้วกว่า 9,700 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมในสัดส่วนเฉพาะของศุภาลัยกว่า 50,000 ล้านบาท

การลงทุนของศุภาลัยในออสเตรเลียนั้นส่วนใหญ่เป็นการจับมือพันธมิตรท้องถิ่นในการพัฒนาโครงการ โดยมีพาร์ทเนอร์รวม 6 รายที่มีการจอยต์เวนเจอร์

ด้านทำเลการลงทุน มีการลงทุนรวม 4 เมืองใน 3 รัฐ คือ เมลเบิร์น และ จีลอง รัฐวิคตอเรีย, บริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ และ เพิร์ธ รัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย

ศุภาลัย ออสเตรเลีย
โครงการ Gen Fyansford เมืองจีลอง ซึ่งศุภาลัยลงทุนร่วมกับบริษัท ICD Property

ยอดขายสะสมของทั้ง 12 โครงการเฉพาะในส่วนที่ศุภาลัยถือหุ้นคิดเป็นมูลค่า 24,500 ล้านบาท หรือเกือบ 50% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งโครงการที่ถือว่าได้ยอดขายดีที่สุดขณะนี้คือ “Arcadia Officer” ในเมืองเมลเบิร์น ทำยอดขายได้แล้ว 96% ใกล้ปิดโครงการ

เฉพาะครึ่งปีแรกปี 2024 ยอดขายโครงการที่ศุภาลัยถือหุ้นใน “ออสเตรเลีย” สร้างยอดขายได้ 1,700 ล้านบาท เติบโต 70% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

 

ผนึกแน่นพันธมิตรเตรียมเทกโอเวอร์ 12 โครงการใหม่

ด้านแผนงานในอนาคตนั้น ดร.ประศาสน์กล่าวว่า เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา “Supalai Australia Holdings Pty Ltd” ได้จัดตั้งกิจการร่วมค้าชื่อ “SSRCP HoldCo Pty Ltd” กับ “Stockland Corporation Ltd” หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของออสเตรเลียที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ กิจการร่วมค้านี้ได้เตรียมเม็ดเงินลงทุนอีก 1,063 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือราว 25,300 ล้านบาทเตรียมเข้าซื้อโครงการจัดสรรทั้งหมด 12 โครงการ เพื่อนำมาพัฒนาต่อเนื่องและสร้างยอดขายต่อไป

หากดีลการเข้าซื้อโครงการลอตนี้สำเร็จ จะทำให้ได้โครงการใหม่เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอคิดเป็นมูลค่าโครงการในสัดส่วนของศุภาลัยรวมกว่า 137,700 ล้านบาท

ในจำนวน 12 โครงการใหม่ดังกล่าวที่จะเข้าซื้อ มีบางส่วนที่จะถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ของศุภาลัยในออสเตรเลียอีกด้วย เพราะมีอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเมืองซิดนีย์ และ เมืองวูลลองกอง ซึ่งอยู่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เป็นการกระจายความเสี่ยงความผันผวนของตลาดอสังหาฯ ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นได้อีกทางหนึ่ง

“ไมค์ เดวิส” Executive General Manager & Masterplanned Communities, Stockland Corporation Ltd กล่าวถึงดีลการเข้าซื้อ 12 โครงการดังกล่าวว่า เป็นการเทกโอเวอร์จากบริษัท “Lendlease Group” ซึ่งเป็นบริษัทในวงการอสังหาฯ ออสเตรเลียเช่นเดียวกัน ถือเป็นดีลขายพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในออสเตรเลีย

เดวิสระบุว่า การตัดขาย 12 โครงการนี้ของ Lendlease เกิดจากการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุนของทางบริษัทผู้ขายเอง ส่วนโครงการที่นำมาขายไม่ได้ติดปัญหาใด และยังมีความน่าสนใจเพราะหลายโครงการมีการขอใบอนุญาตจัดสรรในระดับมาสเตอร์แพลนจากรัฐเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้การเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อทำได้เร็วขึ้น รวมถึงในพอร์ตมีโครงการในเมืองที่มีดีมานด์สูงอยู่ในขณะนี้อีกด้วย เช่น ซิดนีย์ เพิร์ธ

(ขวา) “ไมค์ เดวิส” Executive General Manager & Masterplanned Communities, Stockland Corporation Ltd

เดวิสยังกล่าวด้วยว่า เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนร่วมกับ “ศุภาลัย” มาหลายโครงการเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว ทำให้สนใจชักชวนศุภาลัยร่วมลงทุนในการเข้าซื้อ 12 โครงการใหม่นี้ด้วย โดยเห็นว่าศุภาลัยเป็นคู่พันธมิตรธุรกิจที่มีคุณภาพ เชื่อถือไว้ใจได้ วิธีและวัฒนธรรมการทำงานสอดคล้องและเข้าใจกัน จึงต้องการจับมือเป็นพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง

ดีลการเข้าซื้อโครงการลอตนี้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติจากภาครัฐ ซึ่งเดวิสมองว่าน่าจะมีการอนุมัติได้ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า และจะเริ่มพัฒนาโครงการต่อพร้อมสร้างยอดขายในปี 2025

 

อสังหาฯ ไทยชะลอตัว หวังรัฐช่วยกระตุ้น

“อธิป พีชานนท์” Director of Supalai Australia Holdings Pty Ltd กล่าวถึงการตัดสินใจลงทุนใน “ออสเตรเลีย” ของศุภาลัยเมื่อกว่า 10 ปีก่อนว่า เกิดจากบริษัทต้องการกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย แม้ว่าขณะนั้นผลตอบแทนการลงทุนในออสเตรเลียนับว่ายังต่ำกว่าผลตอบแทนที่ได้ในไทย แต่บริษัทมองถึงอนาคตว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่จะเจริญเติบโตต่อเนื่องด้วยประชากรมีกำลังซื้อสูง และมีผู้อพยพเข้าสู่ประเทศจำนวนมากทุกๆ ปี จะทำให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ผลตอบแทนการลงทุนในไทยกับออสเตรเลียมาสู่ระดับใกล้เคียงกัน หลังจากตลาดอสังหาฯ ไทยชะลอตัวในปี 2567 ซึ่งอาจจะทำให้ภาพรวมทั้งปีนี้ภาคอสังหาฯ ไทยอาจจะติดลบได้หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ

โดยอธิปเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่า มีหลายมาตรการที่รัฐสามารถเร่งรัดออกนโยบายเพื่อช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ได้ทันภายในปีนี้ เช่น การผ่อนปรนหลักเกณฑ์ LTV (Loan-to-Value) ในการขอกู้สินเชื่อบ้านสำหรับบ้านหลังที่สอง หรือ นโยบายเงินคืน (cashback) 1% ให้กับผู้ซื้อบ้านในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้คนต้องการซื้อบ้านมากขึ้นท่ามกลางความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ต่ำลง

“ปกติภาคอสังหาฯ มีสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อจีดีพีประเทศถึง 4-5% ยังไม่นับผลต่อเนื่องที่เป็นตัวคูณเกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ดังนั้น หากมีการกระตุ้นอสังหาฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้มากอย่างแน่นอน” อธิปกล่าว