“แอลจี” เจาะช่องทาง “ขายออนไลน์” เต็มสูบ! แย้มธุรกิจใหม่ออกระบบสมาชิก “เครื่องกรองน้ำ”

แอลจี
  • “แอลจี” วางเป้าจัดสมดุลช่องทางขายสินค้า บุกหนักช่องทาง “ขายออนไลน์” คาดเพิ่มสัดส่วนยอดขายเป็น 30% ใน 5 ปี
  • แย้มมีแผนสร้างธุรกิจใหม่เปิดระบบสมัครสมาชิก “เครื่องกรองน้ำ” เร็วๆ นี้ หลังจากต้นปี ประเดิมธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก

“อำนาจ สิงหจันทร์” หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดแผนธุรกิจ “Next Chapter” ของบริษัทในไทย วางกลยุทธ์เพิ่มช่องทางการขายของแอลจีให้หลากหลายมากกว่าเดิมเพื่อเข้าถึงลูกค้า

โดยแต่เดิม “แอลจี” มีช่องทางขายหลักเพียงรูปแบบเดียวคือระบบ “B2C” (Business-to-Consumer) จัดจำหน่ายผ่านดีลเลอร์และรีเทลต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านวัสดุก่อสร้าง ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้แอลจีจะเพิ่มช่องทางขายการขายและโมเดลธุรกิจใหม่อีกสองช่องทาง ได้แก่ “B2B” (Business-to-Business) การขายสินค้าตรงให้กับโปรเจ็กต์ทางธุรกิจ และช่องทาง “D2C” (Direct-to-Consumer) คือการขายตรงให้กับลูกค้ารายย่อยผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตรงสู่ผู้บริโภคแบบเฉพาะกลุ่ม

“อำนาจ สิงหจันทร์” หัวหน้าฝ่ายการตลาด และ “ซองฮัน จอง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับช่องทางการขายแบบ B2B อำนาจระบุว่าเนื่องจากแอลจีเห็นโอกาสว่าปัจจุบันธุรกิจมากมายต้องการใช้ “โซลูชัน” เครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาอำนวยความสะดวกและยกระดับคุณภาพชีวิตในอาคารสถานที่ของตน เช่น “สำนักงาน”  “โรงแรม” หรือ “สถานศึกษา” เป็นธุรกิจที่ต้องการใช้ “จอ LED” ที่มีความทันสมัยมาติดตั้ง และใช้ “เครื่องปรับอากาศ” คุณภาพดีเพื่อผู้อยู่อาศัย คนทำงาน หรือนักเรียน ทำให้เป็นช่องทางให้แอลจีเข้าไปนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจนั้นๆ ได้

ขณะที่ช่องทาง D2C เกิดขึ้นหลังจากช่วงโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น แอลจีจึงต้องมีช่องทางให้ซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ www.lg.com และผ่านอี-มาร์เก็ตเพลส เช่น ช้อปปี้, ลาซาด้า

รวมถึงโมเดล D2C ยังเปิดให้แอลจีสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น “LG Laundry Crew” แฟรนไชส์ร้านสะดวกซักของบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2567 และอนาคตจะมีธุรกิจใหม่แบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แอลจี
LG Experience โชว์รูมแสดงสินค้าเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด บนสำนักงานใหม่ของ “แอลจี” ชั้น 23 ตึก Tower 4 โครงการ One Bangkok

 

เพิ่มช่องทาง “ขายออนไลน์” เป็น 30%

อำนาจกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายของ “แอลจี” มาจากช่องทาง B2C 80% , B2B 10% และ D2C 10% สัดส่วนนี้คาดว่าจะเปลี่ยนไปในปี 2568 น่าจะปรับเป็น B2C 70% , B2B 15% และ D2C 15%

อนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า แอลจีวางเป้าว่าสัดส่วนยอดขายจะเปลี่ยนเป็น B2C 50% , B2B 20% และ D2C 30% เพราะช่องทางใหม่ๆ จะสร้างยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น

“เราไม่ได้จะลดความสำคัญของ B2C ลง การวางขายผ่านดีลเลอร์ยังมีอยู่เช่นเดิมแน่นอน” อำนาจย้ำ “ช่วงแรกที่มีการขายออนไลน์ ทางดีลเลอร์ก็กังวลว่าเราจะไปทำราคาถูกกว่าในออนไลน์ไหม แต่เราก็ต้องบริหารจัดการโปรโมชันต่างๆ ไม่ให้กระทบกับดีลเลอร์มาก”

อย่างไรก็ตาม อำนาจบอกว่าหลังจากศึกษาพฤติกรรมลูกค้าแล้วจะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อแอลจีผ่านออนไลน์มักจะซื้อสินค้ากลุ่มกลางถึงกลางล่าง เพราะเป็นกลุ่มที่เน้นเรื่องราคามากกว่า แต่หากเป็นสินค้าระดับกลางบนจนถึงพรีเมียม ลูกค้าก็ยังต้องการมาที่หน้าร้าน มาจับสัมผัสสินค้าจริง มีพนักงานขายให้คำปรึกษาและดูแล

แอลจี

ทั้งนี้ ยอดขายของแอลจีปัจจุบันหากแบ่งตามเซ็กเมนต์พบว่า 15% มาจากกลุ่มพรีเมียม กว่า 50% มาจากกลุ่มกลางบน และไม่เกิน 35% ได้จากกลุ่มกลางจนถึงกลางล่าง

 

แย้มเตรียมเปิดธุรกิจสมาชิก “เครื่องกรองน้ำ”

ด้านโมเดลธุรกิจใหม่ที่อยู่ในกลุ่ม D2C อำนาจแย้มว่าเร็วๆ นี้จะมีธุรกิจใหม่ของ “แอลจี” เกิดขึ้นในไทย ยอมรับว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับระบบสมาชิก “เครื่องกรองน้ำ” แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด เพราะยังอยู่ระหว่างวางโมเดล

ระบบสมัครสมาชิกเครื่องกรองน้ำของแอลจีไม่ได้เกิดขึ้นในไทยเป็นประเทศแรก เพราะมีการเปิดตัวใน “มาเลเซีย”  ไปแล้วตั้งแต่ปี 2562

ตามการรายงานของสำนักข่าว Bernama ระบุว่า นอกจากธุรกิจสมาชิกเครื่องกรองน้ำแล้ว แอลจีในมาเลเซียยังมีระบบ “Rent-Up” หรือการเช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแอลจีเป็นระยะเวลา 5-7 ปีด้วย โดยครอบคลุมเครื่องใช้ไฟฟ้า 9 ชนิด คือ เครื่องกรองน้ำ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ตู้เย็น สมาร์ททีวี เครื่องดูดฝุ่น และตู้เสื้อผ้าอัจฉริยะ ระบบการเช่านี้เปิดตัวในมาเลเซียเป็นประเทศแรก และแอลจีกำลังวางแผนจะเปิดตัวในอีก 3 ประเทศ คือ ไทย ไต้หวัน และอินเดีย

อำนาจกล่าวว่า ยอดขายของแอลจีในไทยปี 2567 คาดว่าจะปิดยอดขายที่ 16,000 ล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อน เป้าดังกล่าวปรับลงมาเล็กน้อยจากต้นปีคาดว่าจะเติบโตได้ 10% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีนี้  ไม่สดใสเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม บริษัทยังรอติดตามนโยบายภาครัฐอย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยน่าจะมีผลทางอ้อมช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม และอาจจะผลักดันให้ยอดขายของแอลจีดีกว่าเป้าได้