ฮอนด้า start ไฮบริด ติดเครื่องตลาดแมส

หลังจากปล่อยให้ค่ายโตโยต้าจับจองตลาดรถยนต์ลูกผสม หรือ “ไฮบริด” ล่วงหน้าไปได้พักใหญ่ โดยมุ่งเน้นทำตลาดในตลาดรถยนต์นั่งระดับไฮเอนด์ ราคาล้านอัพขึ้นไป ตั้งแต่ โตโยต้า คัมรี่, เล็กซัส, โตโยต้า พริอุส รวมถึงรุ่น อัลพาร์ด  ล่าสุด “ฮอนด้า” เลือกออกสตาร์ทรถยนต์ “ไฮบริด” กับเขาบ้าง โดยเลือก “ฮอนด้า แจ๊ซ”  เป็นตัวเปิดตลาด “ไฮบริด” อย่างเป็นทางการ  

การเลือกทำตลาดไฮบริดในรุ่นซับคอมแพค นอกจากไม่ต้องท้ารบกับคู่แข่งโดยตรงแล้ว ฮอนด้ายังมีภาษีเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดนี้ โดยเฉพาะแจ๊ซที่จัดเป็นรุ่นทำเงินของฮอนด้า ซึ่งเป็นรุ่นที่ฮอนด้ามองว่าจะได้การตอบรับอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย 

ในตลาดซับคอมแพค กลุ่มที่มีผู้ขับขี่กลุ่มใหญ่สุดในบรรดาตลาดรถยนต์ทั้งหมด ฮอนด้ามีอยู่ 2 รุ่น คือ “ซิตี้ กับ แจ๊ซ” กลุ่มเป้าหมายของ”ซิตี้” คือ ผู้บริโภคที่ต้องการรถขนาดพอเหมาะ ส่วนใหญ่ใช้ในการทำงาน หรือเป็นรถของครอบครัวขนาดเล็ก “แจ๊ซ” เน้นคนรุ่นใหม่ อายุประมาณ 25-35 ปี มีไลฟ์สไตล์แบบวัยรุ่น ทั้งอยากขับไปทำงาน เรียนหนังสือ หรือไปเที่ยวก็ได้

 

“แจ๊ซ ไฮบริด จะเป็นเรื่องของการต่อยอด เป็นคนรุ่นใหม่เหมือนกัน แต่รักเรื่องสิ่งแวดล้อม ชอบใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในภาพรวมกลุ่มเป้าหมายแจ๊ซกับแจ๊ซ ไฮบริด เป็นกลุ่มเดียวกัน” สมภพ ปฏิภาณธาดา ผู้จัดการส่วนงานการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) กล่าวกับ “POSITIONING”

สมภพ เล่าว่า สำนักงานใหญ่ฮอนด้าประเทศญี่ปุ่น ศึกษาเรื่องไฮบริดมานานแล้ว ระบบที่สามารถใช้กับรถทุกเซ็กเมนต์ อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวแจ๊ซ ไฮบริด สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในภาพรวมของการทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทั้งนี้คำว่า “คนส่วนใหญ่” ของแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ปัจจุบันคือผู้ซื้อรถกลุ่มซับคอมแพค ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญทำให้ฮอนด้าเลือกนำไฮบริดมาเปิดตัวกับแจ๊ซก่อน (ดูตาราง ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งขนาดต่างๆ ปี 2554 ประกอบ)

ขณะเดียวกัน ภายใต้โจทย์ที่ว่า ต้องการให้ผู้บริโภครู้สึกว่าไฮบริดเป็นเรื่องใกล้ตัว จับต้องได้ “ราคา” จึงมีความสำคัญ ทั้งนี้ การเปิดตัวที่ 768,000 บาท น่าจะทำให้ผู้สนใจตัดสินใจได้ง่ายขึ้น “ที่ผ่านมา คนไทยมองเทคโนโลยีไฮบริดว่าเป็นของไกลตัว จะซื้อรถไฮบริดสักคันต้องจ่ายเป็นล้าน”

สมภพ มองว่า ถ้าจะให้ดีกับสิ่งแวดล้อมจริงๆ คนต้องใช้ให้เยอะ ประโยชน์ที่จะได้จากเทคโนโลยีนั้นก็จะได้มากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ฮอนด้าเปิดตัวกับรุ่นแจ๊ซ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าใหญ่ เป็นรถที่ได้รับความนิยมมาก

นอกจากนั้น ฮอนด้ายังรับประกันระบบไฮบริด ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุม แบตเตอรี่ไฮบริดและระบบสายไฟไฮบริด เป็นการรับประกันทั้งระบบ ระยะเวลา 5 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง รวมทั้งยังได้รับสิทธิ์คืนภาษีรถยนต์คันแรก 57,700 บาทด้วย

ปัจจุบัน แจ๊ซ ไฮบริด พร้อมจำหน่ายประมาณ 5,000 คัน กำลังการผลิตเดือนละ 1,000 คัน ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 10,000 คัน และมีสัดส่วนยอดขาย 30% ของยอดขายแจ๊ซทั้งหมด

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ตารางเปรียบเทียบราคารถไฮบริด โตโยต้า พรีอุส 1.8
Standard Grade 1,199,000 โตโยต้า พรีอุส 1.8
Top Grade 1,299,000 โตโยต้า พรีอุส 1.8
Top Option Grade 1,369,000 ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด 768,000

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ยอดจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า
2554 รุ่น จำนวน
(คัน) สัดส่วน
(%) ซิตี้ 28,191 33.6 แจ๊ซ 20,164 24.0 ซีวิค 19,344 23.0 แอคคอร์ด 6,039 7.2 ซีอาร์-วี 6,019 7.2 บริโอ้ 3,177 3.8 ฟรีด 1,018 1.2 รวม

style=”text-align: center;”>83,592 style=”font-weight: bold;”>หมายเหตุ :
ยอดขายรวมของฮอนด้า เท่ากับส่วนแบ่งตลาด 10.6% ของตลาดรวม

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

 ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งขนาดต่างๆ
ปี 2554 ขนาด ยอดขายรวม A
(ประกอบด้วย นิสสัน มาร์ช, ฮอนด้า บริโอ้, นิสสัน อัลเมร่า, โปรตอน ซาก้า
และ เกีย ปิแคนโต้) 38,852 Sub-Compact
(ประกอบด้วย โตโยต้า วีโอ้, ฮอนด้า ซิตี้, ฮอนด้า แจ๊ซ, มาสด้า 2 SD,
ฟอร์ด เฟียสต้า HB) 105,540 Compact (ประกอบด้วย
โตโยต้า อัลติส, ฮอนด้า ซีวิค, โตโยต้า พรีอุส, เชฟโรเล็ต ครูซ, มิตซูบิชิ
แลน) 89,579 * Family (ประกอบด้วย
โตโยต้า คัมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด และ นิสสัน เทียน่า) 25,673 MPV (ประกอบด้วย
โตโยต้า อาแวนซ่า, โตโยต้า อินโนว่า, โปรตอน เอ็กโซร่า, ฮอนด้า ฟรีด และ
เกีย คาร์นิวัล) 11,508 SUV
(ประกอบด้วย ฮอนด้า ซีอาร์-วี, เชฟโรเลต แคปติว่า, ฟอร์ด เอสเคป, ฟอร์ด
เอฟเวอร์เรสต์ และ เล็กซัส อาร์เอ็กซ์) 14,165