จากภัยแล้งและภัยพิบัติทั่วโลก ส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวพืชผล และส่งต่อไปถึงราคาผลผลิตพุ่งสูงขึ้นในหลาย ๆ สินค้า ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต, น้ำตาล, น้ำมันมะกอก จนล่าสุดมาถึงคิวของ เนย
ร้านเบอเกอรี่ในยุโรปกำลังเจอช่วงฝันร้าย เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคา เนย แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั่วยุโรป หลังจากก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับต้นทุนช็อกโกแลตและน้ำตาลที่สูง ขณะที่อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงการเฉลิมฉลองคริสต์มาส
ราคาซื้อขายเนยในยุโรป ในช่วงวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มีการซื้อขายอยู่ที่ 8,706 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน เพิ่มขึ้น +83% ต่อปี เนื่องจากความต้องการที่ยังแข็งแรง ในขณะที่สต็อกมีจำกัด เพราะบริษัทผู้แปรรูปก็เลือกจะใช้วัตถุดิบนมไปกับผลิตภัณฑ์ที่ทํากําไรได้มากที่สุดอย่างชีส ซึ่งยิ่งดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้น ซึ่งผลจากราคาเนยที่ปรับตัวสูงขึ้น บริษัทอาหารขนาดใหญ่อาจไม่ได้ผลกระทบมาก แต่กับผู้ประกอบการรายย่อยจะส่งผลกระทบหนัก
นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา Paul Boivin ผู้อํานวยการสหพันธ์ขนมปังและขนมฝรั่งเศส ได้ออกมาเปิดเผยว่า ผลผลิตนมลดลงเมื่อปีที่แล้วในเกือบทุกส่วนของโลก รวมถึงยุโรป สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกนมและเนยที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากราคาต่ำและต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงทําให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจํานวนมากท้อแท้
ทั้งนี้ การผลิตนมทั่วโลกดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่ยังคงตึงตัวเมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลล่าสุดของสหภาพยุโรประบุว่า ผลผลิตจากนมในสหภาพยุโรปเติบโต +0.7% ระหว่างเดือนมกราคม 2023 ถึงเดือนกรกฎาคม 2024 ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ผลผลิต เนยลดลง -1.6% โดยสต็อกอยู่ที่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ผลผลิตชีสเพิ่มขึ้น +3.2%
ด้าน กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาเพิ่มการคาดการณ์สําหรับราคาเนยของสหรัฐฯ ในปี 2024 เป็น 3 ดอลลาร์ต่อปอนด์ (1.40 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม) เพิ่มขึ้น +15% จากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากวัวน้อยลงและนมที่ผลิตได้น้อยลง
ทั้งนี้ จากการประเมินโดย Statista คาดว่า มูลค่าตลาดเนยทั่วโลกปีนี้จะสูงถึง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่า +8% จากปี 2022 และตลาดคาดว่าจะเติบโตปีละ +7% ภายในปี 2029