ในยุคปัจจุบันเรื่องการ “ศัลยกรรม” ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอีกต่อไป สังคมได้เปิดกว้างมากขึ้น อีกทั้งคนไทยก็มีพฤติกรรมเสริมความงามด้วยมีดหมอมากขึ้น ทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงการทำหัตถการ และศัลยกรรม ประโยคที่ว่าทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้จึงกลายเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว
ส่งผลให้ตลาดคลินิกเสริมความงามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย แม้จะมีวิกฤตการณ์ใดๆ แต่ก็มิอาจหยุดสวยได้ โดยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินภาพรวมธุรกิจศัลยกรรม และเสริมความงามของประเทศไทยปี 2566 มีมูลค่าตลาดประมาณ 71,000-72,000 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%
THE KLINIQUE (เดอะคลีนิกค์) เป็นชื่อที่คุ้นหู และได้ยินมาอย่างยาวนาน ได้ทำตลาดในไทยแล้ว 16 ปี เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกตลาดคลินิกความงามยุคแรกๆ ในไทยเลยก็ว่าได้ จึงได้รับความไว้วางใจจากคนไทย และชาวต่างชาติมาจนถึงทุกวันนี้
แข็งแกร่งด้วยการเติบโตมากกว่าตลาด
ปัจจุบัน THE KLINIQUE มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มธุรกิจคลินิกความงามขนาดใหญ่ในประเทศไทย ด้วยสาขารวมกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ รายได้มีการเติบโตในระดับ 2 หลัก ถือว่าเป็นการเติบโตมากกว่าตลาด โดยในปี 2566 มีรายได้จากแผนกผิวหนัง และความงาม 80.7% แผนกศัลยกรรมตกแต่ง 10.3% แผนกชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ 6.3% และแผนกลดน้ำหนักและดูแลรูปร่าง 2.7%
ทั้งในแง่ของแบรนดิ้งก็มีความแข็งแกร่ง ได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับเอเชียแปซิฟิกคือ “Winner of the Ulthera Lifting Highest Achievement Asia-Pacific Award” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า THE KLINIQUE มีการเติบโตและได้รับความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและระดับสากล
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) เริ่มเล่าว่า
“THE KLINIQUE มีการเติบโตมากกว่า 2-3 เท่าของอุตสาหกรรม เป็นการเติบโตสวนกระแส ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ โดยมีการเติบโตจาก 3 ปัจจัยคือ
- ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ จีน และ บราซิล
- ทิศทางผู้บริโภค แม้ว่าประชากรไทยมีแนวโน้มจะลดลงในช่วงปี 2567-2583 แต่รายได้เฉลี่ยของประชากรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 60.3% ทำให้เกิดกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มประชากรในเมือง (Urban residents) ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของ THE KLINIQUE
- นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ประเทศไทยได้รับการผลักดันจากภาครัฐให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์ความงามของโลก พร้อมกับนโยบายกระตุ้นซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจะดึงดูดให้ชาวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับบริการศัลยกรรมและเสริมความงาม
เมื่อลงลึกในตลาดคลินิกความงามที่มีมูลค่ากว่า 72,000 ล้านบาทนั้น สามารถแบ่งตามรูปแบบการให้บริการเป็น 2 ประเภท คือ 1. ธุรกิจบริการหัตถการเสริมความงาม 25% และ 2. ธุรกิจศัลยกรรมความงาม 75%
โดยที่ธุรกิจบริการหัตถการเสริมความงาม ส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะใช้บริการเพื่อการรักษาและบำรุงผิวมากที่สุด ควบคู่กับการใช้บริการหัตถการประเภทอื่น บริการนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคหลายคนมีการเปลี่ยนจากการใช้สกินแคร์ มาทำหัตถการ เพราะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่า รวดเร็วกว่า
พบว่า ผู้บริโภคเลือกใช้บริการหัตถการเสริมความงามที่คลินิกขนาดใหญ่ที่มีสาขามากที่สุด ทั้งในกลุ่มการฉีด (โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ IV Dip สเต็มเซลส์) กลุ่มรักษาและบำรุงผิว (ทรีตเมนต์ ฉีดสิว/กดสิว เลเซอร์ผิว เลเซอร์กำจัดขน) และกลุ่มลดไขมัน ปรับรูปร่าง รูปหน้า (คลื่นความถี่ เทคโนโลยีกระชับสัดส่วน ร้อยไหม)
บริการหัตถการมีแนวโน้มในการขยายฐานผู้ใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชาย และกลุ่ม Gen Z มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฉีดโบท็อกซ์ตั้งแต่อายุยังน้อยมากขึ้น เพราะมีการดูแลตัวเองมากขึ้น
สำหรับกลุ่มศัลยกรรมความงาม ก็เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตไม่แพ้กัน โดยที่ 5 อันดับที่คนไทยนิยมทำศัลยกรรมมากที่สุด ได้แก่ จมูก, ตา, ใบหน้า (คาง กราม), ดูดไขมัน และหน้าอก ในประเทศไทยโด่งดังในการผ่าตัดหน้าอก และผ่าตัดแปลงเพศ
จากข้อมูลพบว่า ผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรมส่วนใหญ่ยังคงทำศัลยกรรมมากกว่า 1 ประเภท คิดเป็น 65% ของผู้ที่เคยทำศัลยกรรม อีกทั้งผู้บริโภคมีแนวโน้มให้ความสนใจการศัลยกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ LGBTQIA+
จับอินไซต์ได้อยู่หมัด สู่แคมเปญ “หมอไหน”
เรียกได้ว่า THE KLINIQUE เป็นคลินิกความงามรายแรกที่ลงทุนทำ Music Marketing ในการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านแคมเปญ “หมอไหน” เพื่อเป็นการสื่อสารว่าในการการทำศัลยกรรม หรือหัตถการเสริมความงามในแต่ละครั้ง ไม่ใช่ว่าจะทำกับหมอที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นหมอ และคลินิกที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังเล่นกับวลีของคนในวงการศัลยกรรม ที่เมื่อเห็นเพื่อนไปอัพหน้าซีรีส์ใหม่ จะต้องถามเลยว่า “จมูกนี้หมอไหน” บางคนก็จะได้ตามไปทำด้วยนั่นเอง
แคมเปญหมอไหน ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของ THE KLINIQUE ที่ทำการสื่อสารผ่าน Music Marketing ได้ทำงานร่วมกับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง Warner Music Thailand พร้อมได้นักร้องสาว “น้ำชา ชีรณัฐ” มาเป็นผู้ขับร้อง พร้อมกับแสดงมิวสิควิดีโอ Featuring นัท นิสามณี
โดยมีเนื้อหาที่สะท้อนนิยามความสวยแบบใหม่ บ่งบอกถึงยุคสมัยที่ผู้บริโภคภูมิใจในการตัดสินใจกำหนดนิยามความงามได้ด้วยตัวเอง สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีต่อการทำหัตถการและศัลยกรรมว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ผู้บริโภคกล้าเปิดเผยและมั่นใจที่จะทำ ไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป เพราะดูดีจนคนต้องถามว่า “ทำกับหมอไหนมา” โดยการใช้ Music Marketing ช่วยทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น รวมทั้งเป็นแคมเปญที่สื่อสารถึงจุดแข็งในเรื่องทีมบุคลากรทางการแพทย์ของ
นายแพทย์อภิรุจ เสริมอีกว่า เมื่อผู้บริโภคปัจจุบันมีความภูมิใจในการรับบริการหัตถการและศัลยกรรมเสริมความงาม และมีความต้องการมากขึ้น THE KLINIQUE เองจึงใช้กลยุทธ์ “Proud to be New” ซึ่งหลอมรวมมุมมองเชิงบวกของผู้บริโภคปัจจุบันที่มีต่อการศัลยกรรมความงาม เข้ากับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่แบรนด์ภูมิใจ เกิดเป็นแคมเปญ “หมอไหน” เพื่อสื่อสารว่า การทำศัลยกรรมเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ไม่ใช่จะทำกับหมอที่ไหนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของหมอผู้ชำนาญการเฉพาะเท่านั้น โดยชื่อเพลงมีที่มาจากคำค้นหาที่ติดอันดับสูงสุดทางอินเตอร์เน็ตในเรื่องการทำหัตถการและศัลยกรรมที่ทีมการตลาดของ THE KLINIQUE ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ปัจจุบันเพลงหมอไหนมียอดวิวมากกว่า 1 ล้านวิวแล้วใน TikTok
ลงทุน 500 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 20 สาขา
สำหรับในปี 2567 THE KLINIQUE มีการใช้งบลงทุนรวม 500 ล้านบาท ทั้งในแง่ของการขยายสาขาใหม่ 20 แห่ง เฉลี่ย 25-30 ล้านบาท/สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมไปถึงการลงทุนพัฒนานวัตกรรมความงาม เครื่องมือทางการแพทย์ และเทคโนโลยีใหม่
ในปี 2568 ได้เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 10-15 สาขา ครบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเช่นกัน
ปัจจุบัน THE KLINIQUE มีฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง 300,000 ราย เป็นลูกค้าประจำที่มีการมาซ้ำ 70% สัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 85% ต่างชาติ 15% ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CLMV, จีน และกลุ่มตะวันออกกลาง ลูกค้ากลุ่มนี้มียอดการใช้จ่ายเฉลี่ย 12,000-15,000 บาท/ครั้ง
ในปีนี้ THE KLINIQUE ตั้งเป้าการเติบโตที่ 30% เป็นการเติบโตมากกว่าตลาด 3 เท่า และมีรายได้ 2,900-3,000 ล้านบาท