นักวิเคราะห์ฟันธง! ยอดขาย ‘รถอีวี’ ในจีนจะแซง ‘รถสันดาป’ ในปีนี้ ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดโต 30% ทะลุ 15 ล้านคัน

Photo : Shutterstock
ดูเหมือนปี 2024 ตลาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะยังเติบโต โดยได้ จีน เป็นตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโต และดูเหมือนแนวโน้มดังกล่าวจะลากยาวมาถึงปี 2025 นี้ ในขณะที่ตลาดฝั่งตะวันตกกำลังเผชิญความท้าทายจากเงินสนับสนุนจากภาครัฐที่ลดลง

คาดปี 2025 ตลาดโต 30% โดยมีจีนเป็นผู้นำ

จากข้อมูลของ S&P Global Mobility เปิดเผยว่า ยอดขาย รถยนต์ไฟฟ้า ทั่วโลกในปี 2024 จะอยู่ที่ 11.6 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนราว 13.2% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั่วโลก และคาดว่าปี 2025 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 16.7% โดยมียอดขาย 15.1 ล้านคัน เติบโตจากปี 2024 ราว +30% แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเป็นภาคการเติบโตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ 

สำหรับตลาดที่จะเป็นคาดว่าจะเป็นผู้นำในการเติบโตยังคงเป็น จีน เนื่องจากตลาดยังคงได้การสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน การยกเว้นภาษี และราคาแบตเตอรี่ที่ถูก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 30% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศ

อย่างไรก็ตาม จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้อัตราการเติบโตจะชะลอลงเหลือ 20% แต่แม้จะมีการชะลอตัวบ้าง แต่ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังจะแซงหน้ารถยนต์สันดาป (ICE) เป็นครั้งแรกในปี 2025 ซึ่งขยับไปใกล้กับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 50% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ภายในปี 2035

ไม่ใช่แค่ตลาดที่โตโดดเด่น แต่ค่ายรถยนต์สัญชาติจีนอย่าง บีวายดี (BYD) ก็มีปีที่ยอดเยี่ยม โดยได้ส่งมอบรถยนต์ 4.25 ล้านคัน เติบโต +41% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) 1.76 ล้านคัน เติบโต +12% ส่วน รถปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ 2.49 ล้านคัน เติบโตก้าวกระโดด +73%

Photo : Shutterstock

ด้านของตลาด สหรัฐอเมริกา คาดว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น +36% ส่งผลให้สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ อยู่ที่ 11.2% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเกิน 10% อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องจับตาดูตลาดสหรัฐฯ กันต่อไป

เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เช่น แผนการยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลาง และกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน 30% 

ด้านการเติบโตของตลาด ยุโรป แม้จะมีความท้าทาย เช่น ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนีลดลง เนื่องจากการลดเงินอุดหนุน แต่ตลาดก็ยังคงเติบโตต่อไป โดยเฉพาะใ ยุโรปตะวันตกและยุโรปกลาง ที่คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น +43% และจะครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% แม้ว่าประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศสและสเปนจะลดเงินอุดหนุนลง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปยังคงได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง

ภาพจาก Unsplash

จับตา เทสลา หลังยอดขายลดลงในรอบ 10 ปี

ด้าน เทสลา (Tesla) บริษัทผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ กลับมียอดขายลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่ -1.1% โดยตลาดหลักเพียงแห่งเดียวที่เทสลาเติบโตก็คือ จีน โดยยอดขายเพิ่มขึ้น +8.8% เมื่อเทียบกับปี 2023 เป็น 657,000 คัน คิดเป็นสัดส่วน 36.7% ของยอดขายทั่วโลก 

แม้จีนจะเป็นตลาดหลักตลาดเดียวของเทสลาที่เติบโต แต่ก็ยังคงถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับสองรองจากสหรัฐฯ ที่มียอดขายเกือบ 675,000 คัน แต่จากการเติบโตดังกล่าว นักวิเคราะห์คาดว่าในปี 2025 ยอดขายของเทสลาในจีนกำลังจะแซงสหรัฐฯ

เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายของเทสลาในตลาดสหรัฐฯ ไม่เติบโต โดยเฉพาะจากค่าย General Motors (GM) ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับสอง ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 114,000 คัน

ภาพจาก Shutterstock

ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ ที่เทสลาต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะตลาด ยุโรป ก็อยู่ในช่วงขาลง เพราะนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลที่ลดลง ประกอบกับการหลั่งไหลเข้ามาของ รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนและเกาหลี ทำให้ยอดขายของเทสลาช่วง 11 เดือนแรกในยุโรป ลดลง -13.7% และมีโอกาสที่ยอดขายจะ ต่ำกว่าปี 2023 มาก

ดังนั้น สิ่งที่อาจพลิกกระแสของเทสลาได้ก็คือการเปิดตัวรถที่มีราคาถูกลง ซึ่งมีข่าวลือว่าจะออกมาในช่วงกลางปีนี้ และมีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คงต้องรอดูว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกจะเป็นไปตามที่ S&P คาดการณ์หรือไม่ เพราะการเติบโตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นโยบายจากภาครัฐของแต่ละประเทศ ปัญหาเรื่องความสามารถในการซื้อรถ ไปจนถึงช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จรถ แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะยังคงเป็นภาคการเติบโตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์