‘เจ้าสัวธนินท์ – ธนินท์ เจียรวนนท์’ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาหัวข้อ Future Thailand : Next Growth ภายในงาน Chula Thailand Presidents Summit 2025 ซึ่งมีหลายประเด็นน่าสนใจทั้ง ‘ยืนยันเศรษฐกิจไทย มีอนาคต’, ‘การศึกษาไม่ใช่ ใบปริญญา แต่เป็นปัญญา’ และ ‘ธุรกิจอย่าไปเอากำไรจากการขึ้นราคา แต่ทำอย่างไรให้ลูกค้ารวยขึ้น’
ในงานดังกล่าว เจ้าสัวธนินท์ได้เริ่มต้นพูดถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยยืนยันว่า มี ‘อนาคต’ เพราะตอนนี้โลกอยู่ในยุคการเปลี่ยนแปลงและเต็มไปด้วยความปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ การเมือง ไปจนถึงเทคโนโลยี และจากประสบการณ์ในชีวิตของเขา เมื่อเกิด ‘วิกฤต ย่อมมีโอกาส’ และ ‘เมื่อมีโอกาส วิกฤตจะตามมา’ เป็นเรื่องปกติ
สำหรับประเทศไทย มีความได้เปรียบในเรื่องการเกษตร ซึ่งเป็น ‘น้ำมันบนดิน’ และ ‘เป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าของประเทศไทย’ เพราะขณะที่อุตสาหกรรมอื่นไทยต้องซื้อวัสดุดิบจากต่างประเทศ แต่สินค้าเกษตรประเทศไทยสามารถผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และทำเงินเกือบ 90% เข้าประเทศ
“คนอาจมองว่า CP ผูกขาด แต่ไม่ใช่ เราเป็นแนวดิ่งทำตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ทุกขั้นตอนสอดคล้อง เนื่องจากถ้าผลิตมาก ขายไม่หมดก็เสียหาย หากขายมาก ผลิตมาไม่พอก็เสียหาย เป็นเรื่องจำเป็น”
อย่างไรก็ตาม เจ้าสัวธนินท์ ยังไม่เห็นการเอาจริงเอาจังกับปัญหาที่ประเทศไทยต้องเผชิญ นั่นคือ น้ำท่วมและภัยแล้ง โดยอยากแนะนำให้นำงบประมาณทำถนน มาทำถนนเข้าไร่นา ทำเรื่องชลประทาน สร้างเขื่อน เพราะถ้ามีชลประทาน ทั้งปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งจะไม่เกิด ที่สำคัญ ยังจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้ 5 เท่า
เช่นเดียวกับ ‘การท่องเที่ยว’ ธุรกิจใกล้ตัวและสามารถทำเงินเข้าประเทศได้เร็วที่สุด ที่ควรมีงบประมาณในการสนับสนุน พร้อมกับควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจการท่องเที่ยวไปถึงระดับใด มีการวางกลุ่มเป้าหมายในการเจาะเป็นอย่างไร มาจากประเทศไหน และสุดท้ายประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน
“ถามว่า การท่องเที่ยวเราพร้อมจริงไหม ผมว่าไม่จริง เราต้องมีการตั้งงบประมาณ วางเป้าหมายและเราจะได้อะไร ตรงนี้ยังไม่ชัด ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็มีความสำคัญ เป็นเรื่องที่อยากฝากรัฐบาล”
อีกประเด็นน่าสนใจ คือ AI หรือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในวันนี้ ‘คนที่ใช้คือประชาชน’ และถ้าประชาชน ‘ไม่มีเงิน’ จะใช้อย่างไร ดังนั้นต้องสร้างประชาชนที่มีรายได้ ซึ่งหนีไม่พ้น ต้องเริ่มต้นที่มีการศึกษาและความรู้ ซึ่งการศึกษาในที่นี้ ‘ไม่ใช่ใบปริญญา’ แต่เป็น ‘ปัญญา’
เพราะไม่ว่าจะเป็นสินค้าไฮเทคหรือเทคโนโลยีทุกอย่าง คนเป็น ‘คนสร้าง’ และคนเป็น ‘คนใช้’ ถ้าคนไม่มีความรู้ จะสร้างและจะใช้ได้อย่างไร นั่นถือเป็นปัญหา นอกจากนี้ด้วยการที่ประชากรเกิดขึ้นน้อยลงทุกปี ทางเจ้าสัวมีความคิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ให้จบมหาวิทยาลัยในอายุ 18 ปี เรียนไป ทำงานไป เมื่อจบแล้วสามารถทำงานได้ทัน
“อีกอันที่เราทำไม่ทันแล้ว คือ หาคนเก่ง 5 ล้านคนเข้ามาเสริมตลาดแรงงาน อย่างสิงคโปร์มีการดึงคนเก่งเข้ามา 2.5 ล้านคน เทียบแล้วเกือบเท่าตัวของประชากร ดึงคนเก่งมาทำงาน ได้ทั้งสมอง ทั้งการเสียภาษี อย่ากลัวมาแย่งอาชีพคนไทย เราต้องหาอาชีพที่คนไทยยังไม่มีและเป็นที่ต้องการของตลาด เชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจทันที”
สำหรับนักธุรกิจก็มีหน้าที่เหมือนกัน โดยการจะอยู่รอดได้ ต้องคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เนื่องจากนักธุรกิจผลิตสินค้ามาขายให้กับประชาชน หากคนไทยไม่รวยขึ้น จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย อย่างบริษัทค้าปลีก อย่าคิดจะมีกำไรจากการขึ้นราคา เพราะวันนี้ถาม Chatgpt จะสามารถรู้ได้เลยว่า สินค้าทั่วโลกมีราคาเท่าไร ต่างจากอดีตที่หากต้องการซื้อสินค้าราคาถูกที่สุดต้องหาข้อมูลจาก 3 แห่ง
ดังนั้น สิ่งที่นักธุรกิจต้องคิดถึง คือ ทำยังไงให้ลูกค้ามีรายได้ และมีกำลังซื้อ รวมถึงทำอย่างไรให้ต้นทุนของตัวเองถูกลงที่สุด สำหรับ CP ทิศทางการลงทุนต่อจากนี้จะต้องในสิ่งที่สามารถสร้างพลังให้มากกว่าของเดิม 5 เท่า ควบคู่ไปกับการสร้างคนของบริษัทให้เก่งเท่าทันกับโลก และไม่กลัวเงินเดือนสูง หากได้คนเก่ง ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายเจ้าสัวแห่ง CP มีข้อเสนอแนะว่า การจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งได้ รัฐบาลต้องมี นโยบายในการทำให้คนไทยร่ำรวย มีความเป็นอยู่ที่ดี และนักธุรกิจก็ถือเป็นส่วนสำคัญมาก ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คนไทยร่ำรวยมากขึ้น