ปีนี้สาหัสแน่!! สมาคมนักวางแผนการเงินไทย เตือนคนไทยควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน-ลดฟุ่มเฟือย-เลี่ยงก่อหนี้ รับมือยุคข้าวยากหมากแพง แถมอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ ได้ให้คำแนะนำประชาชนคนไทยต้องวางแผนการเงิน เพื่อประคองการใช้ชีวิตประจำวันไป หลังต้องเผชิญเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า และการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
สำหรับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ช่วงเกือบ 5-6 ปีที่ผ่านมาหลังได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น การแพร่ระบาดโควิด19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของ ‘การสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน’ โดยตามหลักการแล้ว หากเป็น ‘มนุษย์เงินเดือน’ ควรมีการสำรองเงินเผื่อกรณีฉุกเฉินเป็นจำนวนเงิน 6 เดือนของเงินเดือน แต่ถ้าเป็น ‘กลุ่ม Freelance’ ต้องสำรองเงินจำนวน 12 เดือนของค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติการสำรองเงินฉุกเฉินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไทยเมื่อ 28 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันวินาศภัยกับที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม กรณีที่ผ่อนหมดแล้วและไม่ได้ทำประกันภัยไว้ แต่กรณีที่มีการผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ให้กลับไปตรวจสอบว่าได้มีการทำประกันภัยไว้หรือไม่ และได้ครอบคลุมการคุ้มครองเหตุจากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวหรือไม่ นอกจากนี้ ยังเห็นความจำเป็นมากขึ้นกับการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะผู้มีรายได้หลักที่หาเลี้ยงครอบครัว
นโยบายภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยได้เกิดความผันผวนต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้
หากมีการจัดพอร์ตการลงทุนในแบบกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ จะช่วยให้ลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ซึ่งการจัดพอร์ตการลงทุนในภาวะแบบนี้ แนะนำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลง ด้วยการเพิ่มน้ำหนักใน ‘สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ’ รวมถึง ‘เงินสด’ ให้มากขึ้น
เพราะหากราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรง หลังนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เริ่มเห็นผลกระทบชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้ ย่อมเป็นโอกาสของการกลับไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ภายใต้แนวทางการจัดพอร์ตโดยกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ให้สอด คล้องกับระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมของตัวเรา



