จากร้านขายมะขามเล็ก ๆ ของครูสอนเลขในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนนี้ ‘สารัช’ ได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นอาณาจักรที่มีรายได้หลักร้อยล้านบาท และมีการส่งออกไปในหลายประเทศ แต่รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้สารัชเติบโตอย่างที่เห็นทุกวันนี้มาจากอะไร ?
เส้นทางของสารัชได้ถือกำเนิดขึ้นจากการที่ ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ครูหมู-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ ได้สั่งสมประสบการณ์จากการทำธุรกิจมะขามของครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2517 และเห็นโอกาสทางธุรกิจของต่อยอดแปรรูปมะขามสู่สินค้ารูปแบบอื่น ๆ
จึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคาร 200,000 บาท มาสร้างโรงงานหนึ่งหลัง และกู้ยืมเงินจากแม่มาเป็นทุนซื้อมะขามเพื่อแปรรูป รวมถึงนำชื่อลูกชายคนเดียว คือ ‘สารัช’ มาเป็นชื่อแบรนด์และตั้งบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ขึ้นมาในปี 2525 โดยสินค้าตัวแรก ได้แก่ ‘มะขามแก้ว’ ซึ่งสุภาลักษณ์ได้สูตรมาจากการเขียนจดหมายไปขอกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และกว่าจะมาใช้เวลาเป็นเดือน ๆ
“ครอบครัวทำอาชีพขายมะขามมานาน เลยเห็นช่องทางในการเพิ่มมูลค่าสินค้าจากการนำไปแปรรูป เลยเขียนไปขอสูตรจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ถ้าอยากแปรรูปมะขามทำอะไรได้บ้าง แล้วได้สูตรมะขามแก้วมา 4 บรรทัด จึงต่อยอดลองผิดลองถูกเอง ปรากฏว่า มะขามแก้วขายดี ทำให้ออกสินค้าตัวอื่น ๆ ตามมา เช่น มะขามคลุก, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และมะขามจี๊ดจ๊าด ฯลฯ ”
ปัจจุบันสารัชมีการผลิตสินค้ามากกว่า 30 รสชาติ ไม่น้อยกว่า 100 SKU โดย hero product ขายดีและสร้างรายได้ให้ 70-80% ก็คือ ‘มะขามจี๊ดจ๊าด’ สินค้าที่ออกมาวางขายในปี 2551 ซึ่งครูหมูบอกว่า เธอเป็นต้นตำรับและเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง
“จี๊ดจ๊าด มีคนบอกว่า เอามะขามเปรี้ยวมากินกับเกลือ อร่อยดี แนะนำให้เราทำ ก็เลยลองใช้มะขามเปรี้ยวมาคลุกกับเกลือ แต่ไม่อร่อย จึงคิดสูตรขึ้นมาเองเติมพริก เติมน้ำตาล เติมเกลือ เอาไปให้ 7-Eleven ชิม ปรากฏว่า ชอบ แต่กว่าจะผ่านได้ต้องเข้าไป 3 รอบกว่าจะนำไปขายได้”
สำหรับความได้เปรียบของสารัช และจุดที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้มายาวนาน ประเด็นแรกเนื่องจากสารัชแทบจะเป็นแบรนด์เดียวที่มีการตั้งโรงงานอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ แหล่งปลูกมะขามหวานที่มีพื้นที่เพาะปลูกเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพและรสชาติดี
ถัดมา มาจากประสบการณ์ที่ครูหมูสั่งสมมายาวนาน ส่งผลให้รู้และเข้าใจถึงรสชาติตามธรรมชาติของมะขามที่มีทั้งหวาน และเปรี้ยว โดยเมื่อนำมาแปรรูปก็จะคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้ ภายใต้หลักการเน้นธรรมชาติ สะอาด ปลอดภัย และการพัฒนาไม่หยุด
รวมถึงมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุม โดยปี 2547 ได้นำสินค้าวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven และปี 2548 มีการกระจายสินค้าไปจำหน่ายทั่วประเทศทั้งโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต ช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้สารัชเติบโตต่อเนื่อง โดยสามารถผลิตสินค้าได้มากกว่า 7 ล้านชิ้นต่อปี มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 600,00-800,000 ชิ้นต่อเดือน
ขณะที่ในมุมของผลประกอบการของสารัช มาร์เก็ตติ้ง จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า
ปี 2564 มีรายได้ 86 ล้านบาท และกำไร 1.03 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 101 ล้านบาท และกำไร 1.3 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 122 ล้านบาท และกำไร 1.7 ล้านบาท
รายได้ดังกล่าว มาจากตลาดในประเทศ 80% ส่วนอีก 20% เป็นการส่งออกไปในต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ประเทศในกลุ่ม EU รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ไปในรูปแบบของสินค้า OEM
รุกผู้บริโภคในทุกเจนเนอเรชั่น
สำหรับเส้นทางการเติบโตต่อจากนี้ ‘สารัช กมลธรไท’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เล่าว่า ด้วยความที่แบรนด์อยู่มานานเกือบ 50 ปี บวกกับมะขามจี๊ดจ๊าด สินค้าเรือธงของบริษัทฯ มีความสับสนกับอีกแบรนด์ที่นำไปตั้งเป็นชื่อแบรนด์
ในปีนี้จึงทำการรีเฟรซแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ภายใต้แคมเปญ ‘มะขามสารัช ตัวจริงยืนหนึ่ง 50 ปี’ ปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีสีสันสดใส ควบคู่จัดกิจกรรมการตลาด ‘เขย่า จิ้ม จี๊ด สารัชมะขามจี๊ดจ๊าด…ดดด’ ชูความเป็นแบรนด์สารัช และมะขามสารัชจี๊ดจ๊าดให้ชัดเจน จดจำง่าย และร่วมสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถเจาะผู้บริโภคได้ทุกเจนเนอเรชั่น ได้เตรียมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ เป็นการแปรรูปมะขามรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกัน จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นอกเหนือจากมะขาม เช่น มะยม มะม่วง สับปะรด น้ำพริกมะขามแบรนด์ย่าหมู ซอสมะขาม ฯลฯ
รวมถึงมีการแตกแบรนด์เพิ่มเติม โดยตอนนี้นอกจากสารัช แบรนด์ที่จับตลาดแมสแล้ว สารัช มาร์เก็ตติ้งยังมีแบรนด์อีก 3 แบรนด์ ได้แก่ Sarach Gold แบรนด์มะขามพรีเมียม, Alisa จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ แบรนด์เน้นความสดใส และความครีเอททีฟในการสร้างสรรค์, Ashira San เป็นแบรนด์ลูกของสารัชที่เติมความสนุก เพิ่มอรรถรสในการกิน
ขณะที่การตลาด จะบุกทั้งช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ มีการจัดทำมาสคอตและสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเป็นตัวสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สารัชบอกว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาไม่ใช่เรื่อง ‘ยอดขาย’ หรือ ‘การเติบโต’ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างชื่อเสียงของมะขามที่เป็นแบรนด์ของคนเพชรบูรณ์บนเวทีระดับสากล ตลอดจนผลักดันให้เกิดการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้คนภายในเครือข่ายไม่ต่ำกว่าหมื่นราย
ขณะเดียวกันมีไอเดียขยายธุรกิจออกไปให้นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกิจที่พัก เพื่อขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยว, การแตกไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น สกินแคร์หรือสมุนไพรจากธรรมชาติ เป็นต้น