ลือ! ‘OnlyFans’ แพลตฟอร์มดังกำลังประกาศขายในมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท

ภาพจาก Shutterstock
เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักชื่อของ OnlyFans (โอนลี่แฟน) เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของการเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ ครึเอเตอร์ สร้างสรรค์เนื้อหา 18+ โดยล่าสุด มีข่าวลือว่าเจ้าของกำลังต้องการ ขายแพลตฟอร์ม แม้ว่าจะทำกำไรได้มหาศาลก็ตาม

ตามรายงานจาก Reuters เปิดเผยว่า บริษัท Fenix International Ltd เจ้าของแพลตฟอร์ม OnlyFans กำลังเจรจาขายบริษัทให้กับกลุ่มนักลงทุน นำโดยบริษัท Forest Road Company ในมูลค่าประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถระบุตัวตนของนักลงทุนในกลุ่มนี้ได้ว่ามีใครบ้าง

แม้ว่าจะเพิ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับการขาย OnlyFans หลุดมาตอนนี้ แต่จริง ๆ แล้วการเจรจาได้เริ่มไปตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาเป็นอย่างน้อย และไม่ได้มีแค่กลุ่มทุนจาก Forest Road ที่สนใจเท่านั้น แต่บริษัท Fenix International Ltd ยังคงเจรจากับผู้ที่สนใจซื้อรายอื่นด้วย นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาที่จะ เสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) เป็นอีกทางเลือก

ทั้งนี้ แหล่งข่าวที่เปิดเผยข้อมูลคาดการณ์ว่า ข้อตกลงอาจบรรลุผลใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการเจราจาซื้อ-ขายจะสำเร็จหรือไม่

ย้อนกลับไปช่วงปี 2020 ที่ COVID-19 ระบาด ถือเป็นปีแจ้งเกิดของ OnlyFans ในฐานะ แพลตฟอร์ม 18+ แม้ว่าจุดประสงค์ของแพลตฟอร์มจะเป็นการเปิดให้ผู้ใช้สมัครสมาชิกเพื่อเข้าชมคอนเทนต์แบบพิเศษ ที่เจ้าของบัญชี (ครีเอเตอร์) สร้างขึ้นเพื่อให้สมาชิกที่จ่ายเงินเข้าถึง โดยไม่จำกัดว่าเป็นเนื้อหาประเภทไหนก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่า OnlyFans ได้กลายเป็นช่องทางยอดนิยมสำหรับครีเอเตอร์ที่เผยแพร่เนื้อหา 18+

ที่ผ่านมา OnlyFans สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดและทำรายได้ถล่มทลาย โดยในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2023 รายได้สุทธิแตะ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำกำไรได้ 485.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +20% จากปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนครีเอเตอร์ของแพลตฟอร์มอยู่ที่ 4.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น +29% ส่วนจำนวนผู้ใช้อยู่ที่ 305 คน เพิ่มขึ้น +28% 

ปัจจุบัน เจ้าของ OnlyFans คือ ลีโอนิด รัดวินสกี้ (Leonid Radvinsky) นักธุรกิจชาวยูเครน-อเมริกัน ที่ได้ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของ OnlyFans มาตั้งแต่ปี 2018 จาก Guy และ Tim Stokely ผู้ก่อตั้ง ที่สร้าง OnlyFans ขึ้นในปี 2016 โดยนับตั้งแต่ปี 2020-2023 มีการคาดการณ์ว่า ลีโอนิด รัดวินสกี้ ได้รับเงินปันผลไปแล้วอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท)