ด้วยการใช้ชีวิตแบบ ‘ติดจอ’ และ ‘ดิจิทัลไลฟ์สไตล์’ ด้วยการท่องโลกออนไลน์ผ่านจอดิจิทัลรูปแบบต่าง ๆ ทำให้คนมีปัญหาด้านสายตามากขึ้น โดยเฉพาะ ‘คนทำงาน’ และ ‘เด็ก’ ส่งผลให้ตลาดแว่นตาในไทยมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ
ทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมแว่นตา
ในปี 2024 ตลาดแว่นตาของอาเซียนมีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านบาท และในอีก 10 ปีข้างหน้า สามารถเติบโตเป็นปีละมากกว่า 400,000 ล้านบาท
ขณะที่ในประเทศไทยปี 2024 มูลค่าตลาดดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 63,000 ล้านบาท และคาดการณ์จะมีมูลค่า 124,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยอัตราการเติบโต 11.6% ต่อปี
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดนี้เติบโต ประกอบด้วย
1.การก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย’ ทำให้จำนวนผู้มีปัญหาทางสายตาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีสายตายาวตามวัย (presbyopia)
2.การใช้ชีวิตแบบติดจอ ทั้งกลุ่ม ‘วัยทำงาน’ และ ‘เด็ก’ ที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลและมีการใช้ชีวิตดิจิทัลไลฟ์สไตล์
3.การเพิ่มขึ้นของคนชนชั้นกลาง ซึ่งมีกำลังใช้จ่ายและเลือกจ่ายซื้อแว่นตาที่เน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ราคาถูก’ ทำให้ตลาดแว่นตามีการขยายตัวเชิงมูลค่ามากขึ้นตามไปด้วย
กลุ่มลูกค้าหลักของอุตสาหกรรมแว่นตา ได้แก่ วัยทำงาน อายุ 30–55 ปี, กลุ่มผู้สูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป และ กลุ่มเด็กเล็ก จากปัญหาสายตาสั้นเร็วขึ้นจากการใช้จอดิจิทัล
จากแนวโน้มดังกล่าวประเทศไทยมีโอกาสแค่ไหนในธุรกิจนี้ ?
ประเด็นนี้ถูกหยิบมาพูดถึงในงานแถลงข่าว ASEAN Int’l Optics Fair ที่จะถูกจัดขึ้นวันที่ 9-11 ต.ค.2568 นี้ โดย สมบูรณ์ นำทิพย์จันทาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ISOPTIK กล่าวว่า ปัจจุบันไทยถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก โดยเป็นผู้ผลิตแว่นตาและเลนส์แว่นตาเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่ประเทศจีน
ทั้งนี้ การผลิตของบ้านเรา จะเป็นแว่นตาและเลนส์สายตาคุณภาพสูง ขณะที่จีนเป็นแชมป์ในเชิงปริมาณที่เน้นราคาถูก อย่างไรก็ตาม ปัญหาของไทย คือ ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตเท่านั้น ไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยีและยังขาดการ R&D ดังนั้น หากไทยอยากเพิ่มขีดการแข่งขันจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของตัวเอง
โดยเฉพาะเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากขึ้น จากปัญหาสายตาและต้องการความสะดวกสบายที่ให้สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น โดยตลาดเลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 376,000 ล้านบาท ส่วนในอาเซียน มีขนาดตลาดอยู่ที่ 32,750 ล้านบาท ในปี 2024 และคาดว่า จะมีอัตราการเติบโตปีละ 10 % จนมีมูลค่ามากกว่าปีละ 76,000 ล้านบาท ในปี 2035
ดร.ลักษณรินทร์ คานิเยาว์ ผู้จัดการฝ่ายวิชาการพัฒนาวิชาการ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(ไทย) จำกัด กล่าวว่า การผลักดันให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแว่นตาโลก รวมถึงให้ไทยเป็น Hub ของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาคอาเซียนเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐในการออกกฎเกณฑ์สร้างมาตรฐานและควบคุมคุณภาพให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างความมั่นใจและการยอมรับในเวทีระดับโลก
ขณะที่ ดร.วุฒิพงษ์ พึงพิพัฒน์ อาจารย์พิเศษ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ กล่าวถึงทิศทางของอุตสาหกรรมแว่นตาในอาเซียนว่ามีการเติบโตที่ดีตามความต้องการของผู้บริโภคที่มีปัญหาด้านสายตาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตบุคลากรสำคัญอย่างนักทัศนมาตรให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด เช่น ในประเทศไทยตอนนี้มีนักทัศนมาตรเพียง 800 คน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคหนึ่งของการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ ดังนั้น จึงควรเร่งผลิตนักทัศนมาตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น